หน้ากากอนามัยผ้าเป็นหน้ากากที่เรียกได้ว่าถ้าหากว่าไม่มีประสบการณ์ในการตัดเย็บแล้ว เรียกได้ว่า ทำออกมาได้ยากมากกว่าการตัดเย็บเสื้อผ้าอื่นๆมากนัก เพราะ มันเป็นงานเล็กละเอียด และ มีความซับซ้อน หากยิ่งทำเป็นแบบพวกที่สามารถใส่ที่กรองได้ด้วยแล้ว เรียกได้ว่า เพิ่มความยากแบบทวีคุณกันเลยก็ว่าได้ ดังนั้นแล้ว หน้ากากอนามัยแบบผ้า นั้นสำหรับคนทั่วไปนั้น เราแนะนำให้คุณเลือกซื้อหามาใช้กันน่าจะดีกว่า ปล่อยให้ “ช่างเย็บหน้ากากผ้า” เหล่านั้นทำหน้าที่ของเขา และผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายกันจะเหมาะกว่า สะดวก รวดเร็ว และ ราคาไม่แพง
ทำไมเราถึงควรใส่หน้ากากอนามัยผ้ากันด้วย ?
มันลดโอกาสาการติดไวรัสลงได้ : สำหรับบุคคลทั่วไปแล้ว การใช้หน้ากากผ้า หรือ บางคนอาจจะเรียกว่า หน้ากากอนามัยผ้า ก็ได้แล้วจะเรียก เพราะอนามัยไม่อนามันนั้นมันก็ขึ้นกับการซักล้างเสียมากกว่า ถ้าหากว่ามันสกปรกแล้ว เราก็ไม่น่าจะเรียกว่ามันหน้ากากอนามัยได้สักเท่าไหร่ หน้ากากอนามัยผ้าได้รับการแนะนำทั้งในสหรัฐและ ในประเทศไทยของเราว่า คนที่มีอาการปกติไม่ได้ป่วยอะไรให้สวมหน้ากากผ้าด้วยเพื่อ ประโยชน์เช่น หน้ากากผ้า สามารถป้องกันการกระจายของเชื้อโรคจากตัวเราลงไปหาคนอื่นได้ และ เป็นการลดโอกาสการได้รับ Droplet จากคนอื่นๆได้หากเข้าไปยังที่ชุมชน ขอย้ำอีกครั้งว่าเป็นการลดโอกาสเท่านั้น เพราะ ไม่ว่า มันจะเป็นหน้ากากอนามัยปกติ หรือหน้ากากผ้าก็ตามมันไม่สามารถป้องกันได้เต็มร้อยแต่อย่างใด เพราะ ไวรัสมันมีขนาดเล็กมากกว่าระบบกรองทั้งหมดที่ไม่ได้เป็นหน้ากาก N95 จะกรองได้ นอกจากนี้ หน้ากากอนามัยนั้นไม่ได้เป็นการกันละอองฝอยเข้าดวงตาแต่อย่างใด เนื่องด้วยไวรัส Covid 19 มันสามารถเข้าผ่านเยื่อบุอื่นๆได้ด้วยเหมือนกัน นั้นก็คือ ดวงตา ! ที่เราเปิดอ้าซ่าให้ไวรัสเข้าไปได้อยู่ดี อย่างไรก็ดี การลดโอกาสลงนั้นก็ถือได้ว่าดีกว่าไม่ได้ลดโอกาสอยู่แล้ว
หน้ากากผ้าทำให้ลดการบริโภคหน้ากากอนามัยทางการแพทย์: เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณอาจจะไม่เคยคิดมาก่อนว่า การใช้หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยผ้าแบบซักได้นั้น จะยังประโยชน์ให้กับสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างมากด้วย เพราะ หน้ากากอนามัยนั้นจะเหลือเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และบุคคลากรทางสาธารณสุขต่างๆได้เข้าถึงหน้ากากอนามัยที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้ในสถานประกอบพยาบาลต่างๆได้ดีกว่าเดิม ทั้งนี้ ลองจินตนาการดูว่า ถ้าหากว่า เราไม่มีการผลิตหน้ากากผ้า หรือ ผู้บริโภคไม่เลือกที่จะใช้หน้ากากผ้ากันเลย ! แล้วหน้ากากอนามัยจะเหลือให้กับ “นักรับหน้าด่านทางการแพทย์” ได้อย่างไรกัน เพราะ คนที่จำเป็นน้อยกว่าเอาไปกันหมดแล้ว ! เหมือนกับเรื่องที่ได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้าประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนที่มันจะขาดตลาดและ ทุกคนจำเป็นต้องเลือกใช้หน้ากากผ้าแทนกันหมด
หน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยสำหรับทางการแพทย์ใช้ต่างกันอย่างไร?
ต้องเกริ่นก่อนว่า หน้ากากผ้าแท้ที่จริงแล้ว มันจะมีเยอะแบบเอามากๆ แล้วแต่ศักยภาพของผู้ผลิตและความรู้ของผู้ผลิตหน้ากากผ้าออกมา หน้ากากผ้าที่ท้องตลาดจะมีหลากหลายแบบ จากหลากหลายเนื้อผ้า และ จากหลากหลายวิธีการตัดเย็บอีกต่างหากที่ทำให้มันมีความสามารถต่างๆที่ไม่เท่ากัน อย่างงั้นแล้วไซร้ เราแนะนำส่วนของหน้ากากอนามัยกันก่อนดีกว่าทำไมหน้ากากอนามัยแท้ทีี่จริงแล้วถึงได้เหมาะกับการใช้งานที่สถานประกอบการทางการแพทย์มากกว่า การใช้เดินเข้าตลาดหรือ supermarket กัน
หน้ากากอนามัยที่ได้มาตราฐานปกติ จะมีการระบุความสามารถต่างๆ เช่น BFE VFE (หากมีแสดง) พวกนี้จะบอกความสามารถในการกรองหรือป้องกันแบคทีเรีย และ ไวรัสได้ตามลำดับ ซึ่งมีการกำหนด Classs แต่ค่ามาตราฐานแสดงเอาไว้ที่ข้างกล่องอยู่แล้ว และ นอกจากนี้ จะมีความสามารถในการสะท้อนน้ำที่ด้านนอกได้อีกต่างหาก และ ที่ไม่มีคนคาดคิดก็คือ ความสามารถในการป้องกันการลามไฟแถมมาให้ด้วย เรียกได้ว่า คุณสมบัติออกจากครบและมีการเทียบวิเคราะห์กันออกมาแล้วก่อนที่สินค้าประเภทนี้จะออกตลาดได้ (สำหรับสินค้าหน้ากากอนามัยที่ได้มาตราฐาน) แต่สำหรับตอนนี้ ! มันจะมีของไม่มีมาตราฐานจำหน่ายในตลาดด้วยผ่านทางประเทศเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งเราจะแยกแยะไม่ออกด้วยประสาทสัมผัสปกติ มองด้วยตาก็ไม่รู้ ต้องลองอย่างเดียวและไว้ใจกันเสียมากกว่า ทำให้สินค้าหน้ากากอนามัยจริงๆแล้ว ที่เราหาได้กัน เราก็ไม่สามารถแน่ใจอะไรได้ ในสภาพการณ์ที่ขาดแคลนหน้ากากอนามัยแท้แบบนี้
ทีนี้กลับมาดูที่หน้ากากผ้ากันดู ! ซึ่งทั้งหมดแล้วหน้ากากผ้าก็ไม่ได้มีมาตราฐานหรือการตรวจวัดอะไรได้ เช่นเดียวกัน แต่ที่รู้แน่นอนก็คือ มันลดโอกาสการกระจายเชื้อโรคได้ถ้าหากว่าคุณไอจาม หรือ มีคนไอจามใกล้ๆคุณ มันก็จะกันอะไรได้บ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะหน้ากากผ้าไม่เคยมีการทดสอบความสามารถในการกรองแบคทีเรียหรือไวรัสกันอยู่แล้ว ก็เพราะมันไม่ใช่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์มาตั้งแต่ต้นนั่นเอง (ถึงได้เน้นย้ำว่าสิ่งนี้เอาไว้ให้บุคคลธรรมดาทั่วไปใช้งานกัน)
ทั้งหน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยนั้นจะสามารถลดโอกาสของที่ droplet จากการไอจามจากคนอื่นหรือจากตัวเราไปหาคนอื่นได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างว่า การจามนั้นไม่ได้มีแต่ droplet ! มันจะมีพวกพ่นละอองฝอยอื่นๆเข้าทางตาได้ เพราะงั้นแล้ว ถ้าหากว่าจะเอาที่มั่นใจได้ดีขึ้นการใช้ร่วมกันหน้ากากพลาสติก ที่ เราเรียกกับว่า Face Shied เพิ่มเข้าไปอีกก็จะลดโอกาสการโดน Droplet ลงไปได้อีก
หมายเหตุ : ที่กล่าวมาทั้งหลายทั้งปวง มันจะกันละอองไวรัสระดับ Airborne ไม่ได้ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วหรือมีหลักฐานแล้วส่วนหนึ่งว่า “ไวรัส Covid 19” นี้อาจจะมีสภาพการติดต่อกับแบบ Airborne ด้วยในสภาพอากาศปิดได้ด้วย ! ก็เหมือนกับที่เราได้ข่าวจาก เกาหลีที่มีคุณป้าที่ร้องเพลงเข้าโบสถ์แล้วแพร่ให้คนอื่นได้ในห้องนั้นกว่า 60 คนหรือ ที่ประเทศไทยเราก็คือ สนามมวยที่คนติดไวรัสก็ตะโกนแล้วตะโกนอีก เชียร์น้ำลายพุ่งและละอองลอยไปติดแม้กระทั่ง “โฆษก” ผู้ประกาศที่อยู่บนเวทีที่ชื่อแมทธิวได้อยู่ดี! ดังนั้นแล้ว ย้ำว่าการมีหน้ากากใดๆคือดีกว่าไม่มี แต่ไม่ได้เป็นการกันได้ในสภาพอัดๆแบบนั้น ! อยู่ดี และ แน่นอนที่สุด คือ ultimate social distancing นั้นถือได้ว่าเป็นการป้องกันไวรัสได้ 100% มากกว่าวิธีการอื่นๆ (วิธีการอยู่แบบมนุษย์ปลีกวิเวกหรือฤาษีไม่เจอผู้คนโดยสมบูรณ์ตามที่จะได้กล่าวถึงต่อไปด้านล่างนี้)
มาตราการที่ดีกว่านอกจากการใส่หน้ากากผ้าเพื่อลดโอกาสลงไปได้มากจากการติดไวรัสคืออะไรกัน ?
แน่นอนว่า มันคือ Social Distancing หรือ การเว้นระยะห่างทางสังคมแบบสุดๆ คือ ไม่มีคนไหนในบ้านเลยออกจากบ้านและ ไม่มีคนนอกคนอื่นๆเข้ามาในบ้านเราเลย แบบนี้ถือได้ว่าเป็น สุดยอดการ Social Distancing มากกว่าวิธีการอื่นๆทั้งปวง เรียกได้ว่า ปลีกวิเวกทั้งครอบครัว ซึ่งโอกาสทำได้แบบนี้แบบสุดนั้นทำได้ยาก เว้นแต่พวกที่มีการเตรียมตัวมาก่อนหน้าเพื่อรับมือกับภัยพิบัติร้ายแรงแบบโลกแตก คนเหล่านั้นจะมีวิธีการและอาหารเสบียงต่างๆพร้อมเพื่อดำรงชีวิตแยกตัวจากบุคคลอื่นๆของสังคมได้โดยสมบูรณ์และได้รับการฝึกฝนและทดลองมาแล้วว่าสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งคนเหล่านี้ มีอยู่จริงๆ ส่วนมากจะอยู่ในประเทศที่เกิดภัยพิบัติเป็นประจำ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่จะมีพายุรุนแรงเข้ายังพื้นที่หนึ่งๆ เป็นประจำ คนเหล่านี้จะพร้อมสำหรับสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว ส่วนคนอื่นๆที่เหลือนั้น ยังมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปหาซื้อ ทรัพยาการ อาหาร และ พึ่งพาระบบสาธารณูปโภคอื่นๆอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่ได้รับการฝึก และ เตรียมการมา ทำให้การทำ Social Distancing สำหรับคนเมืองแล้ว เป็นการทำแบบไม่ได้ 100% มีการเรียกพนักงาน Delivery เพื่อมาส่งอาหาร มีการเดินทางไปยัง supermarket เพื่อเข้าไปเลือกเอาสิ่งของจำเป็นกลับมาใช้หรือตุนไว้ที่บ้านเพิ่มเติม เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็เพิ่มความเสี่ยงจากการลดระดับการ Social Distancing ลงมาเล็กน้อย แต่เหมือนเดิม คือ ทำดีกว่าไม่ดีอยู่ดี !
ดังนั้นแล้ว การใส่หน้ากากผ้าต่างๆ เพื่อเข้าไปยังพื้นที่หรือกระทำการใดๆที่เป็นจังหวะที่เราลดระดับการทำ Social Distancing ก็เพื่อเป็นการลดโอกาสการติดไวรัสจากบุคคลหรือสถานที่ที่เราต้องปฏิสัมพันธ์ด้วยนั่นเอง และขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่า ไม่ว่าหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยนั้นไม่ได้เป็นการป้องกันได้ดีแบบ 100% แต่อย่างใด การทำ absolute social distancing ต่างหากที่เป็นการป้องกันได้โดยสมบูรณ์
เราจะเลือกซื้อหน้ากากอนามัยผ้าจากหลักการอะไรได้บ้าง ?
เนื่องจากเราๆท่านจะเลือกหน้ากากผ้าสักชิ้นหนึ่งเพื่อใช้สำหรับสถานการณ์ Covid 19 นี้เราจำเป็นต้องเลือกด้วยประสบการณ์ และ ความรู้เท่าที่มีทั้งหมด และดูความน่าเชื่อตัวของสินค้าเป็นหลัก โดยหลักการณ์แล้ว แนะนำให้เลือกหน้ากากผ้าจากสภาพต่อไปนี้เป็นหลัก
- ความสามารถในการหายใจได้ของเนื้อผ้า : แน่นอนที่สุดว่า คุณจะไม่สามารถใช้หน้ากากผ้านั้นได้เลยหากว่าหน้ากากผ้านั้นมันเยอะชั้นเอามากๆ และ หายใจผ่านไม่ได้ ! ทั้งนี้ เราอยากแนะนำให้การหายใจนั้นเกิดขึึ้นผ่านผ้าเป็นหลัก และ รั่วออกทางด้านช่องด้านบนหรือข้างให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งปัจจัยที่มีผลกับเรื่องแบบนี้ จะมีเหตุมาจากสองประเด็นด้วยกัน คือ Fit test ความเข้ากับหน้าได้ หรือ แปลความได้ว่า มันเหมาะกับหน้าของคุณแค่ไหน ใส่แล้วพอดีหรือเปล่า ถ้าหากว่าใส่แล้วหลวมโหลงเหล๋ง ร่วงหล่นได้เมื่อคุณพูดไปเรื่อยๆ มันจะทำให้คุณต้อง “เอามือมาจับหน้ากากผ้า” และ มันจะทำให้มือคุณเลอะโดยไม่จำเป็น ! ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ผ้าด้านนอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยใดๆก็แล้วแต่ ด้านนอกนั้นถือได้ว่าเป็นด้านที่เลอะแล้วทันทีเมื่อส่วมใส่ทุกครั้ง ! จำเอาไว้ในหัวได้เลยว่า มันเลอะแล้วทันทีที่คุณใส่มัน ! และฝึกพฤติกรรมนี้ให้เป็นนิสัยไปเลย ประเด็นอีกประเด็นที่มีผลกับเรื่องรูของการหายใจว่า มันควรจะผ่านผ้านั้นก็คือ ความหนาของผ้าซึ่งถ้าหากว่าวัดค่ากันจริงๆจะเป็นปริมาตรลมหรืออากาศที่ไหลผ่านได้ต่อเวลาต่อพื้นที่ ซึ่งไม่มีคนจะวัดได้หรอก มันจะใช้วิธีการที่ง่ายกว่านั้นคือ มันคุณหายใจได้หรือเปล่าเมื่อสวมใส่มัน และ เมื่อคุณหายใจออกแรงๆหน้ากากผ้ามันป่องหรือเปล่า ถ้าหากว่ามันไม่ป่องออกมาเลย แปลว่า หน้ากากผ้านั้นจะรั่วด้านบนล่างได้ง่ายเกิน หรือตอนขาเข้าอากาศส่วนใหญ่ก็จะมาจากด้านบนหรือด้านข้างของหน้ากากผ้าแทน ซึ่งมันจะตลกมากว่า เราจะใส่หน้ากากแบบนั้นไปเพื่ออะไรกันล่ะ ?! นอกจากนี้ ยังเคยเห็นอีกวิธีการแบบคนธรรมดาสามารถใช้ได้ก็คือให้นำไฟแช็คมาจุดแล้วเป่าลมดูถ้าหากว่าเป้าได้แปลว่า ลมหน้ากากผ้านั้นอาจจะหนาน้อยไปหน่อย หรือมันรั่วไปทางอื่นเพราะมันหนาเกินไปก็ได้ ทั้งนี้ ทั้งหมดที่เล่า คุณสามารถลองได้เมื่อคุณได้รับหน้ากากผ้าหลังจากที่คุณสั่งซื้อไปแล้วเท่านั้น และ ไม่มีใครให้คุณลองหน้ากากผ้าก่อนเช่นเดียวกัน (หรือคุณอยากจะลองหน้ากากผ้าตัวอย่างเพื่อทดสอบอย่างงั้นหรือเปล่าล่ะ)
- ความสามารถในการกันน้ำได้ที่ด้านนอกของหน้ากากผ้า : ส่วนตัวแล้วความสามารถนี้ได้ถูกก็อปปี้มาจากหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เนื่องด้วยเทคโนโลยีการกันน้ำได้ของผ้านั้นมีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว โดยส่วนตัวแนะนำให้เลือกจากผู้ผลิตที่มีความรู้จำเพาะ โดยเฉพาะด้านเคมีของผู้ผลิตหน้ากากผ้าแบบนี้ เพราะ เกรดของเคมีกันน้ำนั้นมันมีอยู่สองจำพวกใหญ่ๆ คือ พวกที่สามารถส่งออกได้คือผ่านเกณฑ์เคมีีที่เป็นพิษหรืออันตรายบนสิ่งทอตามข้อกำหนดทั้งประเทศในโซนยุโรปและญี่ปุ่น และ เคมีกันน้ำอีกเกรดคือ สินค้าส่งออกไม่ได้คือผ้าพวกนี้ใช้สารเคมีกันน้ำประเภทที่เป็นพิษต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นแล้ว ! ถ้าหากว่าคุณเลือกได้ คุณน่าจะต้องเลือกจากผู้ผลิตที่ระบุความสามารถในการกันน้ำ โดยเป็นเคมีกันน้ำประเภทที่เขาใช้เพื่อส่งออกอยู่แล้วเป็นต้น ทั้งนี้ ความสามารถในการกันน้ำได้นั้น จำเป็นต้องอยู่ด้านนอก เพื่อป้องกัน droplet จากการไอจามจากคนอื่น เหมือนกับที่หน้ากากอนามัยสำหรับแพทย์มี และมีการบอกว่า มีความสามารถในการคงทนต่อการซักล้างได้ ซึ่งเคมีพวกนี้จะเป็นเคมีพิเศษมากกว่า พวกที่ใช้สำหรับหน้ากากทางการแพทย์ขึ้นไปอีกขั้น (หน้ากากอนามัยทางการแพทย์นั้นไม่ได้จำเป็นต้องมีการทนซักจะไม่เหมือนกับหน้ากากผ้าที่เรากำลังจะเอาผ้าไปล้างน้ำออกเพื่อใช้ซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า) ความสามารถในการต้านน้ำหรือสะท้อนน้ำนั้นได้รับการแนะนำจากสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ว่า หน้ากากผ้าพึงมีฟังก์ชั่นการสะท้อนนี้อยู่เป็นพื้นฐาน ซึ่งสอดคล้องกับทีมพัฒนาหน้ากากผ้าของทางธรรมศาสตร์ที่ใช้เทคโนโลยีสะท้อนน้ำที่ด้านนอกของหน้ากากผ้าเช่นเดียวกัน
- ความสามารถในการต้านแบคทีเรีย : ด้วยเทคโนโลยีนาโนซิงค์ออกไซด์ (Nano Zinc Oxide) : นี่เป็นความสามารถหนึ่งที่เพิ่มเติมจากหน้ากากผ้าปกติขึ้นไปอีก เพราะ มีการกล่าวอ้างอิงถึงความสามารถในการกำจัดแบคทีเรียได้ และ มีบทความวิจัยบางแห่งที่ระบุได้ว่า มีความสามารถในต่อต้านกิจกรรมของไวรัสได้ โดยเป็นการทดสอบกับ H1N1 เป็นหลัก (แน่นอนว่ายังไม่มีคนกล้าทำกับ COVID19 เพราะมันต้องใช้แล็ปเกรดสูงมากๆเพื่อกันความเสี่ยงอันตรายเนื่องด้วยมันยังไม่มียารักษาหรือวัคซีนใดๆ ณ เวลาที่พิมพ์บทความนี้) ซึ่งจริงๆแล้วเคมีเพื่อการต้านไวรัสแบบนี้ จะให้เลือกทั้งที่เป็นซิงค์ หรือเป็นซิลเวอร์ แต่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วส่วนหนึ่งว่า ถ้าหากว่าเลือกได้เราควรเลือกใช้เป็น Nano Zinc Oxide มากกว่า Nano Sliver Oxide เนื่องด้วยสภาพที่เกิดขึ้นแล้วว่า Sliver Oxide นั้นสามารถแทรกซึมผิวเข้าไปได้และก่อให้เกิดการสะสมซึ่งไม่ดีต่อสิ่งมีชีวิตสักเท่าไหร่ และ ที่สำคัญกว่านั้นคือ ความสามารถของ Nano Zinc Oxide ที่ติดกับผ้านั้น น่าจะต้องเป็นแบบที่ฝังเข้าไปตอนที่ฉีดกับเส้นใยโพลีเอสเตอร์กันเลยตอนที่พ่นออกจากหัวพ่นสปินเนอร์เล็ท (คิดแบบนี้คือ พวกเส้นใยเพื่อนำมาทำเส้นด้ายหรือผ้าพวกนี้เป็นพลาสติกสะอาดที่พ่นออกมาจากรูฝักบัวขนาดเล็กจริงๆ และสารขนาดเล็กระดับนาโนมันเล็กกว่ารูพวกนี้อีก มันก็จะฝังตัวเข้าไปในเนื้อใยพวกนี้ตั้งแต่ตอนผลิตกันเลยไม่ไหลออกมาแต่ยังมีความสามารถเชิงเคมีเหมือนเดิม) เมื่อเทียบกับการเคลือบด้วยสาร Nano Zinc Oxide แล้ว การที่เส้นใยถูกฉีดผสมตั้งแต่ต้นจะก่อให้เกิดความคงทนต่อการซักมากกว่า และ ไม่หลุดลอกออกมาง่ายๆ ไม่เหมือนกับพวกที่ใช้วิธีการเคลือบสารนาโนซิงค์ออกไซด์เมื่อทำเป็นผ้าแล้ว พวกนี้จะซักแล้วลอกออกมาได้ง่าย และ ที่ลอกออกไปกับแหล่งน้ำก็ไม่ได้เป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อมสักเท่าไหร่ พวกความสามารถในการทำลายแบคทีเรีย มันจะยังอยู่แม้จะไหลลองคลองไปแล้วก็ตาม เทคโนโลยีพวกต้านแบคทีเรียนี้ คุณอาจจะเคยเห็นมากันก่อนหน้านี้ คือ พวกผงซักฟอกที่ออกแบบมาเพื่อให้คุณซักตอนกลางคืนแล้วผ้าก็ไม่เหม็นอับอีกต่างหาก พวกนี้จะจำหน่ายได้ในประเทศที่ไม่ได้มีข้อกำกับทางสิ่งแวดล้อมที่แข็งแรงมากนักอย่างประเทศไทยของเรานั่นเอง
อีกเหตุผลหนึ่งเชิงสังคมว่าทำไมเราถึงยังคงต้องมีหน้ากากผ้าติดบ้านเอาไว้ด้วย ?
จริงๆแล้วคุณก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า รัฐบาลไทยได้มีการกำหนดและตั้งด่านเพื่อตรวจตราคนเข้าออกข้ามจังหวัดหรือพื้นที่กันแล้ว และ หนึ่งในนั้นคือ มีการระบุว่า หากคุณจะขึ้นรถโดยสารจะต้องใส่หน้ากากอย่างใดอย่างหนึ่ง (ไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นหน้ากากอนามัยแบบใด) ซึ่งคุณจะหาหน้ากากอนามัยไม่ได้หรอก และ แย่กว่านั้นคือ ไม่แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยซ้ำๆเก็บเอามารีดอบใหม่ด้วยความยากลำบาก ดังนั้นแล้ว ทางเลือกก็คือ คุณน่าจะต้องมีหน้ากากผ้าเอาไว้ติดตัวบ้างเพื่อการนี้โดยจำเพาะก็ได้ เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายหรือข้อบังคับฉุกเฉินต่างๆที่ระบุออกมาโดยรัฐ ซึ่งการใช้หน้ากากผ้านั้นถือได้ว่า เป็นทางออกที่ประหยัดกว่าในสถานการณ์ที่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์นั้นหาไม่ได้หรือแพงเกินกว่าจะซื้อได้และใช้ให้เป็นไปตามสุขลักษณะการใช้งานของหน้ากากอนามัยเหล่านั้น (ใช้แล้วทิ้งๆๆเท่านั้น) นอกจากนี้ ภาครัฐยังได้ส่งเสริมเพื่อจะได้เพิ่มมาตราการในการออกกฏในการบังคับการใส่หน้ากากอีกด้วย โดยการผลิตหน้ากากผ้าอีกสิบล้านชิ้นออกมาส่งตรงถึงบ้านทุกครัวเรือน เพื่อจะได้ไม่มีข้อมูลอ้างได้ว่า ไม่มีหน้ากากผ้าในการออกกฏให้เข้มขึ้นในระยะที่หลังจากมีการกระจายหน้ากากผ้าออกไปให้แล้วอีกต่างหาก เรื่องเหล่านี้ ดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่เป็นไปได้มาก เนื่องจาก CDC ของสหรัฐอเมริการก็แนะนำ ให้คนสวมหน้ากากผ้า (ไม่ใช่หน้ากากอนามัย) กันแล้ว โดยบอกชัดเจนว่าหากเข้าไปแหล่งชุมชนให้ใส่หน้ากากผ้า (และย้ำว่าไม่ใช่หน้ากากอนามัยทางการแพทย์) เมื่อ CDC ของอเมริการออกมาแบบนี้ เป็นมาตราการ ไทยเราก็มีโอกาสที่จะเลือก มาตราการเหล่านี้มาบังคับใช้ หรือ แนะนำให้กับคนไทยอย่างเราๆท่านๆเช่นกัน !
คุณควรมีหน้ากากผ้า 3 ชิ้นต่อคน
เราแนะนำให้คุณมีหน้ากากผ้าอย่างน้อย 3 ชิ้นต่อคน คือ หน้ากากผ้าชิ้นแรกอยู่ระหว่างการซัก หน้ากากผ้าชิ้นที่สองอยู่ระหว่างการตกให้แห้ง และ หน้ากากผ้าชิ้นทีสามคือเราใช้อยู่ เพื่อที่คุณจะมีหน้ากากผ้าใช้ได้ทุกวัน ตลอดเวลาที่มีสถานการณ์ไม่ปกตินี้
เพราะการใช้หน้ากากผ้านั้นถือได้ว่ามีความจำเป็นแล้วสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 นี้ เนื่องด้วยความรุนแรงของการแพร่ระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและ หลีกเล่ียงไม่ได้ ท่านจึงมีความจำเป็นต้องใช้หน้ากากผ้าที่มีความสามารถพิเศษในการป้องกันตัวเอง และ ลดโอกาสการแพร่เชื้อให้กับคนอื่นๆ แม้ท่านจะไม่มีอาการก็ตามที