ตอนนีี้ส่วนตัวได้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของรถไฟฟ้า 100% คันแรกของชีวิต และ เรียกได้ว่าเป็นรถที่เพิ่งซื้อมาใช้เองคันแรกก็ว่าได้หลังจากที่เป็นรถน้ำมันมานานกว่า 8 ปีแล้ว เพราะ แต่ไหนแต่ไรได้ตั้งใจเอาไว้ว่า หากจะซื้อรถคันต่อไป จะเลือกเป็นรถไฟฟ้าเท่านั้น และวันนั้นก็มาถึงแล้ว !
ทำไมถึงตั้งใจว่าอยากจะใช้รถไฟฟ้าแบบ 100% ด้วยล่ะ ?
เหตุผลหลักเลยนั้นเชื่อว่า รถไฟฟ้าแบบนี้ จะไม่ต้องเสียซ้อมกันอีกต่อไปเป็นประเด็นสำคัญที่คิดเอาไว้ในใจ แต่นั้นจริงๆแล้วก็ มันไม่ได้ถึงกับเป็น fact แน่แท้หรอก เพราะ เราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า กลับทางกันเมื่ออายุของ battery มันเสื่อมมากๆ เราก็ต้องเสียเงินก้อนอีกรอบเพื่อเปลี่ยนแบตฯ แม้ว่า คนขายรถพวกนี้จะบอกว่า มันจะเป็นการเปลี่ยนเป็นโมดูลๆ ทำให้ไม่ต้องยกก้อน แปลว่า ก็จะไม่ได้เสียเป็นเงินก้อน แต่นั่นก็แปลว่า คุณจะต้องเสียเงินเป็นก้อนเล็กๆต่างหากล่ะ แต่ก็แอบหวังเล็กๆว่าอีกแปดหรือสิบปีข้างหน้า ก้อนแบทตารี่สำหรับ retro fit รถเก่า(ในเวลานั้น) จะประหยัดกว่าตอนนี้มากๆด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องด้วยเหตุผลว่า ตอนนี้มีการพัฒนาแบทกันมากและทำให้ต้นทุนประหยัดลงเรื่อยๆทุกๆปี และ คาดเดาเอาเองว่า อีก 10 ปี โรงงานผลิตแบทนั้นก็จะสามารถผลิตออกมาได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำสุดๆ แต่ก็อีก เขาอาจจะไม่เลือกผลิตแบทสำหรับ retrofit รถรุ่นเก่าอายุ 10 ปีแล้วก็ได้ อันนี้มันเป็นอนาคนอันไกลระดับสิบๆปีทำให้เราไม่สามารถคาดเดาอะไรได้แน่นอนเท่าไหร่นักหรอก บอกไม่ถูกว่า โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นคืออะไร รู้แน่นอนแค่ว่าแบทจะถูกกว่าตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ การเอาเครื่องระบบเดิม ที่เรียกกันว่า ระบบเครื่องยนต์สันดาบออกได้ทั้งก้อนนั้น ทำให้เกิดการประหยัดค่าน้ำมันเครื่อง การสึกหรอของอะไหล่เครื่องไปได้มาก และ ทำให้โดยรวมแล้ว มันจะต้องประหยัดค่าอะไหล่ระยะยาวได้ดีกว่าระบบเครื่องแบบเดิมๆ นี่ก็เป็นอีกประเด็นว่าทำไม ถ้าหากว่า ผมเจอใครแล้วก็แนะนำไปเลยว่า ให้ข้ามไปเลย ไม่ต้องไปซื้อเป็นไฮบริดให้เสียสองระบบ และมองภาพที่เลวร้ายไปกว่านั้น โดยการใส่ไข่เข้าไปว่า หากว่า จะซื้อเป็นรถไฮบริดสองระบบก็แปลว่า เขาเองก็ดูแลทั้งสองระบบด้วยเช่นเดียวกันเสียเงินมันสองแบบกันไปเลยก็ว่าได้ ซึ่งเมื่อคนได้ยิน แนวคิดอะไรแบบนี้ เขาก็จะเลือกเหมือนกระผมเองก็คือ เลือกที่ข้ามไปเป็นระบบไฟฟ้าล้วนเช่นเดียวกัน
ข้อดีที่สุดที่คุณคาดหวังจากการใช้รถไฟฟ้า 100% ได้ตั้งแต่วันแรกที่ซื้อเลยก็คือ
ประหยัดน้ำมัน! ใช่แล้ว มันจะตลกมากหากว่า คุณใช้รถไฟฟ้าแล้ว คุณไม่เห็นความคุ้มค่าเงินแบบ บาท ต่อ ระยะทางให้เห็นกันในเดือนแรกๆ เพราะ สิ่งนี้เป็นจุดขายหลักสำหรับคนที่เลือกที่จะใช้รถไฟฟ้าเลยก็ว่าได้ เพราะ หากคุณขับระยะทางมากๆในแต่ละวัน (ในห้วงที่รถไฟฟ้าของคุณยังสามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ได้โดยไม่ต้องออกไปเติมไฟฟ้าภายนอกบ้าน) มันจะทำให้ประหยัดคิดเป็นเงินได้มากกว่า 60%-80% เห็นจะได้ หรือคิดง่ายว่า แต่เดิมคุณเสียค่าน้ำมัน 10,000 บาทต่อเดือน ทีนี้ คุณจะคาดหวังกันได้เลยว่ามันจะเหลือสักประมาณ 2,000 – 5,000 บาทต่อเดือนก็น่าจะทำได้ไม่ยาก เพราะ ต้นทุนน้ำมัน มันแพงกว่ามาก เน่ื่องด้วยคุณเสียภาษีอะไรต่อมิอะไรซ้อนๆเข้าไประหว่างที่คุณใช้น้ำมันทุกๆหยด แต่กลับทางกันไฟฟ้านั้นเป็นหน่วยงานภาครัฐเป็นคนดำเนินการอยู่แล้ว และ กำไรทั้งหมดก็เหมือนกับเป็นภาษีอะไรอย่างงั้น ไม่ได้ต้องเรียกเก็บจากเอกชนอีกทอดหนึ่ง ซึ่งกำไรทั้งเอกชนก็ต้องโดนกินไปและส่วนแบ่งเงินเพื่อภาครัฐก็ต้องเสียไปอีกด้วย ทำให้น้ำมันเป็นอะไรที่แพงแบบไร้เหตุผลกันเลยก็ว่าได้ นอกจากนั้น น้ำมันเป็นสินค้านำเข้าเป็นส่วนมาก และ มีการกำหนดราคาในระดับโลก โดยรัฐไม่ได้มีส่วนได้หรือเสียหากว่าน้ำมันมันขึ้นหรือลงสักเท่าไหร่ ทำให้คุณที่ต้องใช้น้ำมันเพื่อเติมในรถเอาไปวิ่งรอบเมือง มันก็จะทำให้ต้นทุนการเดินทางของคุณแกว่งตามท่านผู้ครอบครองน้ำมันทั่วโลก ซึ่งคนที่ครองน้ำมันนั้นเค้าจะเป็นคนที่รวยระดับโลกเท่านั้นที่ควบคุมเรื่องเหล่านี้อยู่และ คนรวยนั้นจะฉลาดเป็นกรดเพื่อที่จะรีดเลือดปูออกมาให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่า หากคุณหนีกลไกนี้ออกมาได้ถือได้ว่าเป็นการปลดแอกทางพลังงานและรายจ่ายก้อนโตสำหรับคนมีรถกันเลยก็ว่าได้
ข้อดีแฝงทางด้านจิตใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
แม้ว่าไฟฟ้าจะไม่ได้เป็นพลังงานสะอาดแต่มันก็สะอาดกว่าการเผาน้ำมันด้วยเครื่องสันดาบมากโขอยู่! มันทำให้เรารู้สึกได้ว่า เราเองนั้นมีส่วนช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะเรื่องอัตราการพ่นก้าซเรือนกระจก อันเป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน ตอนนี้ทุกคนบนโลกนี้ รู้แล้วว่า โลกร้อนขึ้นจริง และ มันจะก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อรุ่นของคุณเองและรุ่นลูกของคุณโดยตรง พวกเขาเหล่านั้นจะต้องพบกับสภาพฝุ่น PM2.5 ที่ทำให้อากาศนั้นหายใจเป็นพิษต่อร่างกาย เกิดโรคระบาดใหม่ ที่มาจากการกัดเซาะน้ำแข็งขั้วโลก ที่มันละลายออกมาเรื่อยๆ แล้ว เขาจะได้เจอประสบการณ์น้ำท่วมเมือง จนต้องย้ายเมืองหนีกัน (ได้เกิดขึ้นแล้วที่ประเภทอินโดนีเซีย) และ กรุงเทพ จะไม่รอดจากสภาพนั้นได้เลย! ความเลวร้ายเหล่านั้น เป็นปัญหาที่คุณหากยังมีชีวิตอยู่สั้นๆนี้จะไม่ได้เจอ และ มันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆอย่างไร้ทางป้องกันหากว่า รถไม่ได้ถูกแปลงเป็นการใช้ไฟฟ้าแทนให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นการลดการปล่อยก้าซเรือนกระจก เรื่องนี้เป็นเรื่องมหภาคที่รุนแรงเอามากๆ และดูเหมือนว่าจะหนีปัญหาไม่ได้ โดยผู้นำทั่วโลก ก็ไร้ทางป้องกัน เพราะ มันดันเป็นปัญหาเชิงแบบไร้เจ้าภาพ เช่น ปัญหาง่ายๆ แค่ PM2.5 เผาหญ้าจากประเทศหนึ่งแล้วลอยไปอีกประเทศหนึ่ง แล้วจะจับมือใครดมได้อย่างงั้นหรือ ? หรือ ประเทศฉันจะใช้รถแบบเครื่องสันดาบเพื่อพ่นสะสมโลกร้อนไปเรื่อยๆแล้ว ยังไงล่ะ จะคว่ำบาตรเหรอ หรือว่าจะทำอะไรได้ มันบังคับข้ามประเทศกันไม่ได้ ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องระดับโลก ส่วนรวมร่วมกันระหว่างประเทศก็คือโลกเราเนียะแหละนะ แต่มันดันเกิดความรักชาติ เกิดความคิดว่า ฉันเป็นคนในชาติหนึ่งๆเท่านั้น มิได้มีความคิดว่าฉันเป็นประชากรโลกที่เรียกว่า earth นี้แต่อย่างใด การกำหนดพรมแดน และ ไร้กฏหมายของโลก และ ไร้รัฐบาลโลกทำให้เรื่องแบบนี้ แทบสิ้นหวังที่จะป้องกันกันได้ ประเทศแต่ละประเทศนั้นล้วนเห็นแก่ตัวและแนวคิดแบบนี้จะทำให้โลกพังอย่างง่ายๆ และ โง่เง่าที่สุดเท่าที่คุณจะคิดออก
ข้อเสียที่ร้ายแรงสำหรับการใช้รถไฟฟ้านั่นหลักๆแล้วคือระยะการเดินทางที่จำกัดจำเขี่ย
แม้ว่าส่วนตัวแล้วจะเดินทางออกต่างจังหวัดไม่ได้มากมายเท่าใดนัก แต่เมื่อคุณจะต้องเดินทางแล้ว อาจจะต้องทุกครั้งเลยว่า มันจะต้องวางแผนเอาไว้ก่อน ว่าน้ำมันไฟฟ้าจะเหลือเท่าไหร่ ระยะจะพอวิ่งหรือเปล่า และ ถ้าหากว่าไม่พอจะต้องไปเติมที่ไหนเพื่อให้มันประหยัดเวลาทั้งการเดินทางออกนอกเส้นทางที่เราจะต้องเดินทางแล้ว (ระยะ detour) และเวลาที่จะต้องเสียไปสำหรับการเติมไฟฟ้าเข้ารถอีกด้วย แม้ว่าตอนนี้ระดับของถังไฟฟ้า (เหมือนกับถังน้ำมันยังไงอย่างงั้นแหละ) จะมีมากประมาณ 400 KM ต่อการชาร์ทเต็ม 100% ก็ตามแต่ปัญหาคือ ทุกแบรนด์จะแนะนำให้เติมไฟฟ้าเต็มถังจำเพาะวันที่คาดว่าจะเดินทางไกลจริงๆ เพราะ การเติมเต็มๆมากๆค้างเอาไว้ มันจะทำให้แบทเสื่อมได้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย ทำให้ปกติแล้ว เราจะเติมกันที่ 90% หรือน้อยกว่านั้นคือ 80% ของความจุแบททั้งหมด 100% มันจะทำให้ถนอมแบทได้ดีกว่า นั่นแปลว่า หากคุณคิดจะเดินทางไกลแล้ว แปลว่า คุณจะต้องรู้ล่วงหน้าไว้บ้าง หลายชั่วโมง เพื่อที่จะเติมไฟฟ้าส่วน 10-20% ที่เหลือที่กั้กเอาไว้กันแบทเสื่อม และ จะต้อง Google สถานที่ชาร์ทไฟเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะเติมขากลับหรือขาไป หรือปลายทาง แล้วจะใช้เป็น DC fast charging station ที่ไหนและได้ขนาดการเติมกระแสได้เท่าไหร่กันแน่ โดยตรรกะที่ใช้เลือกสถานที่ชาร์ทก็คือ
- จะเลือกที่สามารถออกไปเดินเล่นได้ มีอะไรให้กินดื่มซื้อเป็นหลัก : ทำไมน่ะเหรอ ผมคงไม่อยากจะเข้าไปที่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ไม่ได้มีอะไรให้ออกมาเดินนอกรถ เข้าห้องน้ำก็ไม่ได้ แล้วขังตัวเองเอาไว้ในรถระหว่างที่ต้องเสียเวลาเพื่อที่รอระบบไฟฟ้านั้นชาร์ทไฟฟ้าเข้ารถหรอก มันกินเวลาประมาณ 20-30 นาที เห็นจะได้สำหรับการเติมเพื่อให้มีระยะมากพอเพื่อกลับ กทม.ได้
- จะเลือกเติมไฟฟ้าในสถานี charge ที่เป็น DC fast charge เท่านั้น : เพราะ หากคุณเลือกที่เป็น AC มันจะกินเวลาแบบรอไม่ได้ (เวอร์เกินไปที่จะรอขนาดนั้น) ใครจะไปดองตัวเองแบบนั้นกันได้ล่ะ เสียเวลาเกินไปหรือเปล่า
- จะเลือก DC fast charge จากระยะทางขับอ้อม และ KW ของเสป็กเครื่องชาร์ทไฟฟ้า โดยมากจะเลือกที่เป็น 120 KW เอาไว้ก่อน เล่าอีกสักหน่อยแล้วกันว่า ตอนนี้ จะมีให้เลือกตั้งแต่ 50 KW และสูงสุดที่ระดับ 125 KW ( ณ เวลาที่พิมพ์จะมีแค่ตัวเดียวที่เป็น 125 KW นอกนั้นส่วนมากถ้าหากว่าสูงๆก็จะเป็น 120 KW) มันจะทำให้อัตราการไหลไฟฟ้าเข้ารถนั้นต่างกันเป็นครึ่งๆกันเลยก็ว่าได้ ทำให้ผมเลือกที่จะใช้ 120 KW ถ้าหากว่าเลือกได้ก่อนเป็นสำคัญ
- จะเลือกการเติมเมื่อถึงปลายทางแล้ว หรือ เป็นเส้นทางขากลับเท่านั้น เหตุผลก็คืือ มันจะทำให้คุณเต็มไฟฟ้าเข้าถังไฟฟ้าได้มากกว่าและไวกว่า การที่คุณจะเติมขาไป คุณอาจจะไม่เคยรู้ว่า การเติมไฟฟ้าด้วยตู้ชาร์ทไฟฟ้าประเภทกระแสตรง DC เข้าไปที่รถโดยตรงนั้น ระบบรถ และ ระบบตู้ชาร์ทจะเติมไฟฟ้าเข้ารถไม่ได้เท่ากันเสมอตลอดเวลาแต่อย่างใด กล่าวคือ มันจะเติมได้ในอัตราที่ไวมากกว่าหากว่ามันไกลจาก 80% มากๆ เพื่อเป็นการถนอมแบทของรถเช่นเดิม การเติมไฟฟ้าที่มากกว่า 80% ระบบรถหรือตู้ชาร์ทจะทำการหรี่ประมาณกระแสไฟฟ้ากระแสตรงให้ลดลงมาประมาณหนึ่ง (คาดเดาไม่ได้ว่าเท่าไหร่ เพราะ ยังไม่ได้เคยเติมมากกว่านั้นเท่าไหร่นัก) อาจจะเกินครึ่งก็ได้ มันเป็นการผลักดันให้คนอื่นเข้ามาเติมแทนที่คุณจะกั้กที่จอดเอาไว้ เพราะ ระยะวิ่งของรถมาก 80% นั้นก็มากเพียงพอเหลือเกินที่จะวิ่งได้ถึงบ้านได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตามที
ยังไงซะถึงแม้นว่ามันจะมีข้อเสียหลักอยู่ คือ ระยะทางวิ่ง แต่การพัฒนานั้นก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆอยู่แล้ว เราจะเห็นว่าทุกปีจะมีรถที่มีถังเก็บไฟฟ้าได้มากขึ้น ระยะทางวิ่งต่อการชาร์ทเต็มนั้นมากขึ้น เพื่อจะทำให้เกิดการขจัดปัญหาหลักนี้ออกไปได้ แต่สำหรับผมแล้ว ผมเลือกที่จะใช้มันตอนนี้! เพราะ เราต้องการการรักษ์โลกที่จริงจังมากกว่านี้ การลงทุนโดยบุคคลธรรมดาเหมือนท่านๆที่จะเลือกซื้อรถนั้น คุณเลือกที่จะจ่ายแพงขึ้นได้อีกหน่อย เพื่อให้กลไกเกิดและ การใช้งานเริ่มเกิด มันจะเป็นแรงผลักดันทำให้การเลือกใช้รถไฟฟ้านั้นเป็นทางเลือกที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีคนเริ่มใช้มากขึ้น ก็จะมีที่ชาร์ทมากขึ้น และ เมื่อมีที่ชาร์มากขึ้น เรื่องการชาร์ทก็จะเป็นปัญหาที่น้อยลงไปได้ในที่สุดอยู่ดี แนะนำว่า คุณมีเงินเสียหน่อยก็เลือกใช้ รถไฟฟ้า 100% ไปเลยนะครับ แนะนำอย่างแรง !