ทำไมโควิดถึงได้ฉลาดราวกับสร้างเพื่อทำลายล้างจำเพาะมนุษย์โดยเฉพาะ!

แปลกมาก ! ที่โควิดสิบเก้าตัวนี้ได้รับการออกแบบ หรือ ได้ถูกเลือกมาเพื่อให้เป็น โรคระบากยุดใหม่ ที่มี internet การบอกต่อและข้อมูลข่าวสาร ก็ไม่สามารถป้องกัน หรือลดทอนปัญหาลงไปได้ มันเหมาะเจาะขนาดที่ว่า มันระบาดได้ทั้งโลกแบบไร้พรมแดนกันเลยทีเดียว ! ต้นเหตุ มันก็เพราะ การระบาดแบบนี้มันลงตัวแบบเหมาะเจาะ เหมาะเหม็งราวกับจับวางว่า ถ้าหากว่าอยากจะทำลายมนุษย์สักกึ่งหนึ่งโควิดสิบเก้าเนี่ยะแหละ จะเป็นตัวที่สามารถทำได้หากว่า มนุษย์ยังคงฉลาดน้อย กว่าไวรัสที่ไม่มีแม้กระทั่งสมอง แต่มันกลับมีกลไกที่ฉลาดราวกับมีสัตว์ที่ฉลาดกว่าอยู่เบื้องหลังการระบาดครั้งนี้ 

จุดเริ่มต้นของหายนะการระบาดระดับโลกมันมาจากเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าของมนุษย์เอง

อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้ว การระบาดระดับโลกได้นั้น เพราะ มันมีการเดินทางหรือโดยสารของพาหะด้วยอากาศยาน หรือการเดินทางไปทั่วโลกของสายการบินเป็นจุดเริ่มต้น ไวรัสมันเกาะเอาไว้กับสัตว์ที่เป็นพาหะ สำหรับกรณีนี้ก็คือ เหล่ามนุษย์หน้าโง่นั่นเอง ! เมื่อติดแล้วจะต้องลงตัวระดับที่ว่า มันจะต้องไม่มีอาการทันทีทันใด และ คนที่เป็นพาหะจะต้องไม่เป็นอะไรมาก ไประยะหนึ่งแล้วถึงค่อยเกิดอาการในภายหลัง หรือ เจ๋งไปกว่านั้นคือ ไม่มีการแสดงอาการใดๆเลยแล้วเล่นอวัยวะภายในให้จงหนัก โดยที่ไร้อาการต่อพาหะนั้นถือว่าเป็นไวรัสที่น่ากลัวที่สุดก็ว่าได้ นอกจากจะระบาดให้คนอื่นได้แล้ว เนื่องจากเจ้าตัวนั้นไม่รู้ตัวอะไร แล้วก็สามารถเกิดการคร่าชีวิตได้อีกด้วย 

ผู้ออกแบบไวรัสนั้นเข้าใจถึงพฤติกรรมมนุษย์อันเป็นสัตว์สังคม

คนเราก็แปลกว่า เราต้องไปมาหาสู่กันไม่ว่าจะเป็นสังคมย่อยที่เรียกว่า ครอบครัว สังคมการทำงาน สังคมเพื่อนฝูง และอื่นๆ อีกหลากหลายวงที่เราจะจำกัดความได้ แต่ก็นั่นแหละ ที่เป็นจุดต่อเชื่อมทำให้เกิดการระบาดได้ ผู้ออกแบบไวรัสโควิดนั้นคงคิดเอาไว้ว่า มันควรจะต้องระบาดได้โดยการพูดจาใกล้ชิดกัน (หายใจรดกัน ไอจามใส่กัน หรือแม้กระทั่งแค่ยืนคุยกันเกินกว่าห้านาที) เพื่อทำให้การระบาดเกิดขึ้นได้สูงสุด ผู้ออกแบบไวรัสเล็งเห็นว่า คนจะติดต่อกันด้วยการพูด และ ถ้าหากว่าพูดแล้วไอระเหยและเชื้อไวรัสนั้นกระจายได้ไปยังคนอื่นๆที่สนทนาด้วยทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดแล้ว นั่นก็ทำให้ประสิทธิภาพการระบาดเกิดขึ้นได้รุนแรงและกระจายได้มากกว่ากิจกรรมอื่นๆ การระบาดแนวนี้ มันก็มีอยู่แล้วเป็นปกติก็คือพวกไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดธรรมดาก็มีพฤติกรรมกาติดต่อแบบเดียวกัน เพราะงั้นแล้ว .. ก็ไม่ได้ยากอะไรที่ผู้ออกแบบไวรัสจะเลือกเอาวิธีการเหล่านี้มาใช้เป็น วิธีการแพร่เชื้อหลักให้กับสังคมมนุษย์เหล่านี้

การป้องกันการติดเชื้อทางอากาศนั้นกระทำได้ยากมากหากว่าเอาคนสองคนมาเจอกันแล้วให้พูดคุยกัน โดยไม่มีหน้ากากอนามัยป้องกันใดๆ สองคนที่กระทำพฤติกรรมเหล่านี้ก็คือ คนที่ใกล้ชิดกัน และ เสมือนว่าไว้ใจกันถึงไม่ใส่หน้ากากคุยกัน และ เป็นความรู้สึกขัดๆระหว่างพฤติกรรมที่ว่า เราใส่หน้ากากเพื่อป้องกันตัวด้วยเหตุผลว่าไม่ไว้ใจว่าอีกคนจะมีเชื้อหรือไม่ และ อีกเหตุหนึ่งคือ เราใส่หน้ากากเพื่อป้องกันมิให้คนอื่นติดเชื้อจากเราทั้งๆที่เราก็ไร้อาการใดๆ การที่คนเราคิดได้สองแบบแบบนี้ทำให้หากไม่ได้ปรับความเข้าใจให้ถูกต้อง จะมีคนพวกหนึ่งที่เลือกที่จะไม่ใส่หน้ากากป้องกันใดๆ แต่อย่างไรก็ดี สำหรับปีนี้มนุษย์นั้นรู้แล้วว่า ยังไงเสีย เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อจากคนที่ไม่มีการแสดงอาการ ยังไงเสียก็ต้องใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อระหว่างกัน 

เรากำจัดการระบาดของโรคในสัตว์ได้ง่ายกว่าในมนุษย์เอามากๆ

ไวรัสนั้นมีจุดอ่อนแค่อย่างเดียวโดยแท้ คือ หากมันหาคนไปต่อเชื้อมัน เหมือนกับทายาทอสูรไม่ได้ มันก็จะสลายตายไปกับคนที่เป็นพาหะนั่นแหละ ฟังดูเงื่อนไขของมันนั้นง่ายเอามากๆ คือ แค่ทุกคนทั้งโลกกักตัวให้ห้องปิดตายที่ไร้การติดต่อกับคนอื่นทางกายภาพ แค่เพียง 14 วันอุบัติการณ์ทั้งโลกก็จะจบลงทันที !  แต่ก็อีกหากมองกลับทางกัน การกักคนทุกคนแยกจากกันทั้งหมดทั้งโลก นั้นแทบไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย เพราะ เราบังคับขังคนเหมือนหมูเหมือนหมาไม่ได้ ไม่เหมือนกับการระบาดของโรคของสัตว์เช่น ไก่ หมู ปลา อาการระบาดพวกนั้น เราอาจจะเรียกได้ว่า แทบไม่ต้องไปกักมันด้วยซ้ำ มนุษย์โหดกว่านั้นเยอะ โดยการฆ่าทั้งฝูงทิ้งทั้งหมดเลยก็ยังมาแล้วแบบชิวๆง่ายๆแค่นั้น อาจจะสังเกตได้ว่า พวกมนุษย์ก็เลือกวิธีการเหล่านี้กับสัตว์เพื่อการพาณิชย์เหล่านี้ และ การระบาดก็จบลงได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก แต่ก็อีกแหละ ว่า เราทำแบบนี้กับสัตว์มนุษย์ไม่ได้ และไม่เลือกที่จะกระทำ เพราะ ไม่มีคนที่มีอำนาจเหนือขึ้นไปอีกที่เป็นเจ้าชีวิตได้เหมือนกับที่ คนกระทำกับสัตว์นั่นเอง 

ความตายที่ถูกหยิบยื่นจากความรักและคิดถึง 

กลุ่มคนที่ทำหน้าที่แพร่เชื้อหรือเป็นพาหะ มักจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น หรือคนอายุไม่มากนัก เพราะ คนเหล่านี้แม้นว่าจะรับรู้ว่า ตัวเขาเองนั้นมีโอกาสติดหากว่าไม่ปฎิบัติตัวใหม่เหมาะควร เขาเหล่านั้นก็มีโอกาสตายได้น้อยกว่าคนกลุ่มที่เป็นเป้าหมายของเชื้อไวรัสในครั้งนี้นั่นคือคนสูงอายุ ดังนั้นแล้ว การที่คนสูงอายุและคนวัยรุ่นที่อ่อนกว่านั้นปฏิสัมพันธ์กันก็เป็นด้วยเหตุผลจากการคิดถึงเข้าหา และ การใส่ใจเข้าพบหา นั่นแหละที่จะทำให้เกิดการแพร่เชื้อไปที่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด ซึ่งเราก็พบเห็นเหตุเหล่านี้ได้เหตุให้เกิดการเสียชีวิตอยู่ร่ำไปในระหว่างที่ม่ีการระบาด เช่น ปู่มาเล่นกับหลานที่บ้าน สงกรานต์ก็ไปเยี่ยมตายายที่บ้านและติดเชื้อ แม้นว่าตายายจะไม่ได้เดินทางไปที่ไหนก็ตาม เป็นต้น ทั้งนี้บ้านหรือครัวเรือนที่เกิดเหตุอะไรทำนองนี้ มันจะเกิดความรู้สึกผิดบาปอย่างแรงกล้าในใจว่า “ตนเองได้กระทำการแพร่เชื้อแบบไม่ได้ตั้งใจให้กับคนอันเป็นที่รัก” และนั่นคือความรู้สึกผิดฝังใจอย่างช่วยไม่ได้ ที่หยิบยื่นความตายให้กับญาติหรือคนในครอบครัวอันเป็นที่รักของเขาเหล่านั้น โอกาสแบบนี้ และกลไกที่เกิดขึ้นแบบนี้นั้น ราวกับผู้ออกแบบไวรัสได้ดีไซน์เอาไว้ว่าเป็นอย่างแยบคายที่สุด ที่จะทำร้ายกระทั่งจิตใจของผู้คนให้ฝังลึกเป็นแผลที่เจ็บหนักแม้ว่าตนเองนั้นจะรอดจากการติดเชื้อไวรัสเหล่านี้มาได้

สงครามไวรัสและมนุษย์นั้นยังไม่จบลงง่ายๆ 

แม้นว่าพวกมนุษย์จะสามารถพัฒนาวัคซีน หรือแม้กระทั่งยา อีกทั้งเริ่มมีการพัฒนาขั้นตอนการรักษาออกมาเมื่อเวลาผ่านไป โดยแลกกับยอดผู้เสียชีวิตเป็นการแลกเปลี่ยนกันในเกมส์สงครามไวรัสและมนุษย์เหล่านี้ ฝ่ายของไวรัสนั้นได้รับการโค้ดดิ้งกำหนดไว้เช่นเดียวกันว่า เมื่อมีการติดได้ในแต่ละรอบวิวัฒนาการ จะต้องมีการพัฒนาอย่างสุ่มเพื่อให้สามารถติดได้ดีขึ้นและเหมาะกับสภาพการณ์ของสถานการณ์ที่มนุษย์กำหนดเป็นกรอบขึ้นมาใหม่ไปด้วยเช่นเดียวกัน อาจจะเรียกได้ว่า ผู้ออกแบบไวรัสได้ลงกำหนดวิธีการให้กับไวรัสเอาไว้แล้วโดยการสุ่มเพื่อหาทางรอดของไวรัสเองให้เกิดการระบาดได้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ไวรัสกระทำอยู่แล้วธรรมชาติมานาน และ ด้วยกลไกนี้ทำให้เวลา และรอบการะบาดนั้นมีผลต่อการพัฒนาสายพันธ์ของไวรัสอย่างช่วยไม่ได้ หากมนุษย์ยังคงอนุญาตให้พวกศํตรูตัวร้ายเหล่านี้มีฐานที่มั่นที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆจากการแพร่ติดต่อกันไปเป็นทอดๆได้เรื่อยๆอยู่แบบนี้ พวกมนุษย์ก็ต้องออกแรงพัฒนาการป้องกันและวัคซีน ยา หรืออุปกรณ์วิธีการอื่นๆเพื่อสวนหมัดย้อนกับเข้าไวรัสนี้ได้จงได้ ทำให้สงครามนั้นอาจจะยึดเยื้อออกไปมากกว่าที่คิด หากมนุษย์เองยังฉลาดปรับกลยุทธ์สู้ผู้ออกแบบไวรัสนี้ไม่ได้ โอกาสที่ไวรัสจะพัฒนาชนะนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายเกิินไปนัก และ นั่นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนบนโลกไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นจนถึงระดับเป็นซุเปอร์บัคที่ไม่มียาหรือวิธีการใดๆหยุดยั้งมันได้ หากถึงจุดนั้นแล้ว ความพ่ายแพ้อย่างราบคาบก็จะบังเกิดกับฝ่ายพวกมนุษย์โลกในที่สุด 

เชื่อหรือเปล่าโรคระบาดระดับโลกก็จะมีเกิดขึ้นและเหมือนว่าจะไร้แผนการรับมือใดๆ

ตอนนี้ทุกคนตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะกำราบเจ้าไวรัสตัวนี้ให้อยู่หมัด โดยยังไร้การประชุมกำหนดแผนกันว่า ถ้าหากว่ามันจะเกิดอีกใครจะทำอะไรกัน เพราะมันเป็นเรื่องไร้พรมแดนว่า ใครจะเป็นคนทำอะไรกัน มันไม่มีรัฐบาลโลกที่จะกำหนดได้ว่า คนไหนต้องทำอะไรในแต่ละประเทศ อาจจะเกิดความร่วมมือกันบ้าง แต่ก็ยังไร้การประสานงานที่ดี เอาง่ายๆแค่วีคซีนพาสปอร์ตก็ยังไม่เกิดขึ้น และ ตกลงร่วมกันทั้งโลกยังไม่ได้ว่าใครจะกำหนดมาตราการแบบใด เพื่อป้องกันประชาชนในประเทศของตนเองจากการระบาดระลอกใหม่อื่นๆที่จะเกิดขึ้นได้หากสายพันธ์นั้นแอบพัฒนาไป ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ตอนที่ประทุครั้งแรก ณ เมืองอู่ฮั่นประเทศจีน เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติการการระบาดของโรคใหม่แบบนี้ สุดท้ายแล้วหากไร้วิธีการใดๆ มันจะเกิดขึ้นอีกครั้งอย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทีสุด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *