rackmanagerpro.com

ข้อสังเกตแปลกๆที่เจอเจอในประเทศเวียดนาม (สงกรานต์ปี 2553)

กุ้งเผาในน้ำมะพร้าวที่เวียดนาม
วันสงกรานต์ที่ผ่านมาผมไม่ได้พักผ่อนอยู่บ้านตามแผนการณ์ที่ประเมินเอาไว้ว่าอยากจะทำ (แน่นอนว่าผมไม่ได้วางแผนว่าจะนอนเฉยๆหรอกนะครับ ทำอะไรนั้นมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ได้ว่าผมจะทำอะไร ) แต่มีรับ assignment มาให้ไปออกงานแฟร์เสนอสินค้าของที่บริษัทครับ ยังไงก็แล้วแต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากสักเท่าไหร่หรอกครับ ก็ผมเป็นคนง่ายๆอะไรก็ได้อยู่แล้ว ไม่ค่อยคิดมากอ่ะครับ (มีคิดอะไรมั่งเหรอป่าว่อะครับ ชีวิต แหม จะเอาอะไรมาหนักอกหนักใจให้มากมาย ทำลายสุขภาพจิตโดยไม่จำเป็นน่ะครับ คิดอย่างงั้นไม่ดีหรอกครับ)

ก็เลยอยากจะบันทึกเรื่องการเดินทางมาที่เวียดนามที่สักหน่อย ซึ่งปกติแล้วผมจะ Blog เนื้อหาประมาณนี้ที่ Blogspot ของผมครับ แต่ตอนนี้ผมมี Policy ใหม่แล้วว่า Blogger content ใดๆ จะเอาไว้ที่เดียวให้หมดคือ ที่ Rackmanagerpro.com แห่งนี้เท่านั้นครับ

ที่เวียดนามไม่ได้เป็นประเทศที่ดูแล้วเจริญแต่อย่างใด ไกด์ท้องถิ่นก็ยังบอกว่า ถ้าหากว่าประเทศไทยเราอยู่เฉยๆ เพราะการเมืองแล้วล่ะก็ก็ต้องรอเวียดนามให้ตามกันอีกประมาณ 10-15 ปีเห็นจะได้ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยเราจะไม่ได้หยุดนิ่งนานเท่านั้นหรอกครับ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วครับ สภาพบ้านเมืองก็เหมือนกับบ้านเมืองเราเมื่อประมาณ 20 ปีย้อนหลังน่าจะได้ตอนนั้นผมว่าผมเกิดแล้วล่ะครับ คือ โดยรวมเพราะว่าประเทศเค้าผ่านสงครามมามากทำให้โดนถ่วงความเจริญ แทนที่จะเอาเวลาไปพัฒนาประเทศก็ต้องมารบๆกัน เสียเวลาไปโดยใช่เหตุไม่เกิด productivity มวลรวมในประเทศครับ

คนที่นี่ส่วนมากแล้วจะเป็นคนผอมบาง ทั้งชายและหญิง เข้าใจเอาเองว่าประเทศนี้ไม่มีอาหารไขมันให้กินมากสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีเลยน่ะครับ Loliria pizza และ KFC ก็มี แถมห้าง Big C และ CP จะมีเปิดกันให้เห็นกันทั่วไป แต่ข้อจำกัดสำหรับการสร้าง modern trade จะเป็นแนวว่า มีการจำกัดว่าเขตหนึ่งๆจะต้องมีได้แค่ที่เดียวเท่านั้น  เขตที่นี่ผมไม่รู้หรอกครับ ว่ามันใหญ่มากน้อยแค่ไหน แต่ที่นี่เค้าไม่มีชีเขตเหมือนกับบ้านเมือเราครับ มีแต่เลขเขคตเท่รนั้นครับ (หรือมีแต่ว่าผมไม่รู้ก็ไม่แน่ใจครับ) ที่ห้าง Modern trade ไม่ได้เปิดเยอะมากมายเหมือนกับเมืองไทยก็เพราะว่า เค้าไม่อยากจะให้กระทบธุรกิจของคนระดับรากหญ้าของเค้าน่ะครับ ไม่ใช่เงินทั้งหมดไปเป็นของนายทุนซะอย่างงั้น ทางรัฐเค้ามีความต้องการให้ทุกบ้าน ที่หน้าบ้านต้องเป็นธุรกิจ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งอย่าเอาเป็นแค่บ้านพักอาศัยเฉยๆครับ เพราะงั้นแล้วสิ่งที่คนที่นี่ทำได้ไม่ยากก็คือ การรับของมาขาย ที่เป็นแบบ Location base ครับ คือ แถวไหนไม่มีร้านอะไร ก็ฌอาของประเภทนั้นมาขาย มันก็เหมือนกับประเทศไทย กทม แต่ก่อนยังไงอย่างงั้นน่ะหละครับ

Shop ร้านรวงที่นี่ก็มีทุกระดับต้องแต่ร้านป้าดา ร้านโหลยติงต๊อง และอื่นๆ มีหมดน่ะครับ แต่ร้านที่เป็นของแพงมี Brand เหล่านี้ก็จะต้องอยู่ใกล้กับแหล่งที่ tourist เหมือนกับพวกผมอยู่กันครับ นอกนั้นถ้าหากว่าออกห่างจากตัวโรงแรมไปหน่อยก็เริ่มไม่เห็นแล้วล่ะครับ  Trip นี้ผมไม่ได้เดินห้างแต่อย่างใด สิ่งที่ทำก็ได้แค่เดินเป็นแบบ Window Shopping เท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้หรอกว่าอะไรเป็น Brand อะไรครับ ( ผมซื้อของตาม function การใช้งานใครๆก็รู้น่ะครับเพราะงั้นแล้ว Brand ที่ผมจะรู้จักได้ก็ต้องรู้จักมาจากคนอื่นเค้าอีกทีนึงครับ ไม่ได้ทำการศึกษาอะไรดว้ยตัวเองหรอกครับ ) ส่วนร้านที่อยู่ตามตลาดก็จะเป็นขายของ copy เหมือนกับที่บ้านเราขายน่ะหละ ตามคลองถม และ ซอยพัฒพงษ์ ที่เค้าเอาไว้หลอกขายให้กับคนต่างชาติ ที่นี่ก็มีร้านอย่างงั้นเยอะมากเหมือนกัน แต่ราคาก็ไม่ได้ต่ำติดดืนเหมือนกับที่เห็นทีแม่สายสักเท่าไหร่ ต่อยังไงก็ลดไม่ค่อยจะได้มากนักน่ะครับ แปลกดีเหมือนกันว่า ไม่รู้ว่าเค้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหนกัน ทำไมมันลดกันไม่ได้เหรอ >< (ผมไม่ได้ซื้อน่ะครับ แต่ว่าตามคนอื่นไปดูการต่อว่าเค้าต่อแล้วให้ราคาต่างจากราคาเปิดมากน้อยแค่ไหน เอาแค่เป็นไอเดียว่า เวียดนามขายอะไรราคาเท่าไหร่เท่านั้นเองอ่ะครับ)

สาวๆที่นี่จะแต่งตัวแบบ .. นะเหมือนกับคนใส่หน้าร้อน คือ ใส่แบบเสื้อกล้าม .. โชว์กล้ามมั้ง ..เอาแบบว่าไม่ค่อยอายแล้วก็ไม่ต้องปกปิดอะไรมากเหมือนคนไทย เพราะว่าเค้ามีดีเอาไว้ show น่ะครับว่าอย่างงั้นดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นคนขายของ คนเดินถนน และนักท่องเทียวเกาหลี (เกาหลีนี่ไม่เกี่ยวเท่าไหร่หรอกครับ) ผมก็มานึกถึงสาวไทยเหมือนกันน่ะครับ ว่า บ้านเมืองเราเนี่ยะเค้าก็สอนเอาไว้ดีอยู๋เหมือนกันนะครับ ว่าถ้าหากว่าแต่งสั้นแต่งโป้หน่อยแล้วมี action อะไรที่แปลกออกไป ที่อาจจะทำให้เห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้ก็อาจจะเอามือปกปิดเอาไว้ไม่ให้สายตาหนุ่มๆ(หรือแก่ๆ) ชอนไชได้ แต่พฤติกรรมทั้งหมดนี้ที่คนไทยทำ ไม่ได้เกิดขึ้นกับสาวเวียดนามแต่อย่างใดครับผม ^_^ (ดีแล้วน่ะนะ)

เด็กนักเรียนที่นี่จากการบอกเล่าเค้าจะบอกว่า เด็กๆจะเรียนกันแต่เช้าคือประมาณแปดโมงแล้วก็เลิกเรียนเพื่อพักเทียงกันตอนสิบเอ็ดโมง แต่กลับมาเรียนต่ออีกทีก็ต้องตอนบ่ายโมงครึ่ง หรือ แปลง่ายๆ แปลว่าเด็กพวกนี้พักกลางวันกันปรมาณ 2.5 hrs ครับ แสดงว่าเด็กเหล่านี้อาจจะเดินกลับบ้านก็ได้ หรือไม่ก็อยู๋โรงเรียนวิ่งเล่นก็ได้ แต่เด็กๆพวกนี้ถ้าหากว่าเรียนตอนเย็นแล้วก็จะเลิกอีกทีก็ห้าโมงอ่ะครับ เย็นน่าดูครับ เพราะว่าผมตอนเรียนประถมก็เลิกแค่ตอนสามโมงสี่สิบเท่านั้นเองครับ

ที่แปลกที่สุดก็จะเห็นเรื่อง จราจร บนท้องถนน นี่น่ะหละครับ ที่แนวโน้มคือ ทุกคนเหมือนจะขี่มอเตอร์ไซด์แทนการขับขี่ด้วยรถยนต์ ผมไม่ทราบเหตุผลที่แน่นอนหรอกครับ ว่าทำไมคนถึงเลือกที่จะใช้ motorcycle แทนการขับรถ แต่เดาเหตุและผลต่อไปนี้น่ะครับ
– เพราะว่าคนที่นี่เค้าเห็นคนอื่นขับเป็นมอเตอร์ไซด์กันหมด ถ้าหากว่าตัวเลือกขับรถแล้ว จะทำให้ตัวเองต้องไปที่ไหนๆช้ากว่าที่คนอื่นเค้าไปได้ เพราะ มอเตอร์ไซด์ มันขี่ได้คล่องกว่าเยอะมากน่ะครับ รถนี่เรียกว่า แทบวิ่งกันไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่
– เพราะคนที่นี่รายได้น้อยมาก ถ้าหากว่าจะเดินทาง แบบส่วนตัว ก็อยากซื้อเป็นมอเตอร์ไซด์มากกว่าเพราะว่ามันถูกกว่าครับ แล้วก็ไม่มีเงินไปซื้อรถด้วย จ่ายแพงกว่าใช้งานได้น้อยกว่า จะเอาไปทำไมก็ไม่รู้เนาะว่าปะครับ
– เพราะคนส่วนใหญ่เดินทางตัวคนเดียว อาจจะเป็นพนักงาน หรือ ข้าราชการ ทำให้ต้องเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว อย่างมากก็รับลูก ก็เดินทางกันแค่สองคนสูงสุด ว่าอย่างงั้นก็ได้น่ะครับ
อย่างที่ผมบอกไปเรื่องนี้เป็นการคาดเดาเท่านั้นน่ะครับ ไม่ต้องคิดมากหรือว่าเอาเรื่องที่ผมพิมพ์เอาไว้อ้างอิงได้หรอกนะครับ

ภาษาเวียดนามฟังแล้วก็เหมือนกับคนพูดฮ่องกงซะมากครับ ฟังแล้วอาการออกเป็นเหมือนกับภาษาจีนครับ แต่เป็นจีนฮ่องกง กวางตุ้งครับ ถ้าหากว่าฟังรวมๆแล้วก็ไม่น่าจะอารมณ์บ่านแบ๋ว บ่านกวน แหนมเนียงสักเท่าไหร่ครับ แล้วที่นี่แน่ วันก่อนผมไปขอน้ำจิ้มกับพนักงานผู้หญิง เค้าก็ทำหน้าแดงใส่ซะอย่างงั้น ปรากฏว่า คำว่าจิ้ม  มีความหมายในภาษาเวียดนาม แปลว่า หนอนน้อยคุณชาย อ่ะครับ >< แหม เราก็ส่งภาษาไทยขอน้ำจิ้มไปซะใหญ่ กะว่า น่าจะฟังกันเข้าใจแล้วก็ชี้ๆ เพราะว่าผมไม่รู้หรอกครับว่าน้ำจิ้มภาษาเวียดนามเค้าว่ายังไง แล้วฟังดูแล้ว พนักงานคนนีก็ฟังภาษาอังกฤษไม่ได้ด้วย ก็สิ่งที่ทำได้ก็แค่ พูดภาษาไทยออกไปเท่านั้นเอง แต่ดั้นไป มีความหมายซะอย่างงั้น พลาดนะเนี่ยะ

Wifi ที่โรงแรมที่ผมพักอยู่เค้าจะเปิดให้ใครใช้ก็ได้เป็น Free access ครับแล้วมันก็เป็นจุดขายตามร้านอาหารด้วย ผมจะสังเกตเห็นอยู่เป็นประจำว่า “ร้านเรา Free Wifi” ตัวเบ้อเร่งปะเอาไว้ที่หน้าร้านหรือกำแพงข้างร้าน แสดงว่าการมี internet ให้เข้าได้จากร้านกาแฟ ร้านไอติม และร้านอื่นๆ เป็นจุดขายที่คนนิยมทำมากที่สุด ในเวียดนามครับ

ถ้าหากว่าเปิดโรมมิ่งแล้วดูที่สัญญาณมือถือจะเห็นได้ว่าที่เวียดนามใช้ 3G กันแล้วน่ะครับ แต่ประเทศไทยเรายังงกๆกันอยู่เล้ย ( เดินหน้าเรื่อง สามจีกันให้มีความครอบคลุม แล้วก็ลดราคาให้กับลูกค้ามือถือเมืองไทยกันได้แล้วมั้งครับผม )

ที่เวียดนามมีการ Block Facebook เข้าใจว่า การ Block นี้น่าจะเป็นเรื่องคนรัฐบาลกันเลยก็ว่าได้เพราะว่าไปที่ไหนๆก็จะเข้าไม่ได้เหมือนๆกันหมด ทั้งนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่า Facebook มันจะมีผลต่อความมั่นคงของประเทศเวียดนามว่าอย่างไร แต่ก็ช่างเค้าเถอะครับ เค้าคิดว่าไม่ปลอดภัย เค้าก็ไม่ให้คนในประเทศเค้าใช้กันก็เท่านั้นเองอ่ะครับ ทำให้ Facebook ขาดรายได้จากประเทศเวียดนามครับผม

ไกด์บอกว่า คนเวียดนามทำอะไรก็ต้องแข่งหรือเปรียบเมียบกับไทยเสมอ และ เรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องประทับใจของคนเวียดนาม และส่งผ่านมาให้ผมรับรู้ได้ผ่านทางไกด์ท้องถิ่น ก็คือ การชนะประเทศไทยในการแข่งขันฟุตบอล ณ ประเทศไทยครับ ซึ่งเค้าก็บอกว่า เค้าทำอะไรก็แพ้ประเทศไทยมาตลอด โดยเฉพาะบอลไทยก็ไม่เคยจะขนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็อีก ทุกอย่างมันก็มีข้อยกเว้น ครั้งนึงครั้งนั้น .. เวียดนามชนะครับผม !

หนุ่มสาวพลอดรักกันได้ทุกทีในตัวเมืองไม่ว่ากัน ประเด็นนี้เป็นเรื่องแปลก แม้กระทั่งสำหรับคนเวียดนามเองอ่ะครับ เพราะ คนที่เป็นไกด์เค้าก็บอกว่าถ้าหากว่าเป็นจังหวัดที่เค้าเกิดและอยู่ อาการของคนหนุ่มสาวจะไม่พลอดรักกันแบบนี้ แล้วก็ถึงขั้นว่า ถ้าหากว่าดูดปากกันแล้ว ถ้าหากว่าผู้ใหญ่มารู้มาเห็นก็ต้องให้แต่งงานกันเลย ! โห เหมือนกับเป็น vampire ดูดเลือดซะอย่างงั้นเลยเหรอครับนั่น แต่ก็นั่นน่ะหละครับ เมืองหลวงไม่ได้มีแนวคิดแบบนี้แล้วหรอกครับ หนุ่มสาวมานัวเนียกันที่เกาะกลางถนน จอดมอเตอร์ไซด์ไว้ข้างๆฟุตบาท … มันโรแมนติดตรงไหนผมก็ไม่เข้าใจ แต่ก็เข้าใจอาการ in love ของคนเวียดนามเหล่านี้ได้ไม่ยากครับ (มันไม่มีที่ไปแล้วนี่ครับ ตัวเมืองของบ้านเมืองเค้าหน้าตาไม่โรแมนติกแบบนี้น่ะครับ)

อย่าคิดว่าอาหารเวียดนามจะเหมือนอาหารเวียดนามที่เรากินที่ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแหนมเนียง ตัวแป้งก็ไม่ได้เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวเหมือนกับเรา จะเป็นแผ่นอะไรสักอย่างดูไม่ออก และ เรียกถูกว่าจะอธิบายว่าอย่างไร และ ที่แปลกกว่านั้น จะมีน้ำจิ้มอันนึง (ที่ผมขอเค้าด้วยภาษาไทยน่ะครับว่าน้ำจิ้มๆๆ..) เป็นน้ำจิ้มที่เป็น universal ใช้ได้กับทุกอาหารครับ ไม่ว่าจะเป็นป่อเปี้ยะ ไก่ย่าง แหนมเนืองและอื่นๆ มันจะเหมือนกับน้ำอาจาดเวียดนามที่เรารู้จักน่ะครับแต่จะไม่มีแครอท และ หัวไชโป้วเส้นอยู่ในนั้น แล้วก็รสชาติจะจืดกว่ามากๆน่ะครับ

ข้ามถนนใหญ่ด้วยท้าวปล่อยอันตรายมาก เพราะคนที่นี่อย่างที่บอกเอาไว้แล้ว เค้าจะขี่กันแต่มอเตอร์ไซด์กันเสียมาก มากเสียจนเหมือนกับถนนคนเดินเลยถ้าหากว่าดูเผินๆ เพราะฉะนั้นการข้ามถนนที่มีแต่มอเตอร์ไซด์ซะมากแบบนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยากกว่าข้ามในประเทศไทยเรามากนัก แต่จำเป็นผมก็ต้องข้ามน่ะหละก็แถๆไปเรื่อยๆน่ะครับ แล้วแต่บุญกรรมที่เคยทำมาเท่านั้นน่ะหละครับ แล้วการขับขี่ที่นี่เรียกได้ว่า  . ใกล้ชิดกันสุดๆทั้งรถและมอเตอร์ไซท์ (และคนเดินถนนด้วยอ่ะครับ) จะชนไม่ชนแหล่กันก็ไม่มีใครโกรธเคืองกัน มอเตอร์ไซด์วิ่งมาจะชนรถอยู่แล้วก็ยิ้มๆเป็นการขอโทษยมบาลว่า ยังไม่ฆาตน่ะครับไว้วันหลังมารับตัวใหม่แล้วกันเนาะ อะไรประมาณนี้น่ะครับผม

เรื่องราวเวียดนาม ตอนแรกก็คิดว่าไม่น่าจะมีประเด็นอะไรมากมายไม่เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่เค้าทำอะไรก็ดูแปลกตาเราไปเสียทั้งหมด ยังไงซะถ้าหากว่าคุณอ่านบทความนี้เกือบทั้งหมด คุณก็อาจจะไม่ต้องมาในตัวเมืองของเวียดนามแล้วก็ได้น่ะครับ แต่ถ้าหากว่าจะไปเที่ยวก็ยังไปได้คัรบเพราะผมก็คิดว่าจะไม่เหมือนกับตัวเมืองแน่นอน (ที่นี่คนเค้าไม่ได้มาเที่ยวกันหรอกครับ ที่เมืองหลวงเต้าอ่ะครับ)

คำค้นหาของคุณที่มาเจอหน้าเว็ปนี้:

Exit mobile version