ไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสไปเดินทางไปทำงานทำการที่ประเทศจีน ณ เมืองฮังโจ่ว และ เมืองเซี่ยงไฮ้ ครับก็เลยอยากจะเอาเรื่องที่เกี่ยวข้องแนวๆ Tech ๆ นิดหน่อยที่เกี่ยวกับการเดินทางนี้มาเล่าให้ฟังซักนิดน่ะครับ โดยเรื่องที่อยากจะเอามาเล่าให้ฟัง หรือพิมพ์เก็บเอาไว้ที่ blog นี้จะเป็นประเด็นหรือ List รายการที่จะเอาไว้เตือนตัวเองว่า ถ้าหากว่าจะไปเมืองนอก จะต้องเตรียมตัวอะไรอย่างไรบ้าง ในมุมมองของการใช้อุปกรณ์สื่อสารและ การใช้งาน computer และ internet หรือ พวก Gadget ในต่างประเทศครับผม โดยผมจะเล่าเป็นประเด็นๆไปก็แล้วกันนะครับ
check ดูก่อนเลยว่าตัวแปลงหัวปลั้ก เราได้เอาไปแล้วหรือไม่?
ผมเคยแล้วน่ะครับที่ว่าผมเอา computer Notebook หรือแม้กระทั่งพวกอุปกรณ์ charger เพื่อเอาไปไปชาร์ค computer หรือ mobile phone ทั้งหลายแหล่แต่ว่า เมื่อไปถึงประเทศนั้นๆแล้วก็พบว่าหัวปลั้กเนี่ยะมันรูคนละรูปแบบกับที่เรามีจริงๆเล้ย ไปเห็นอย่างงั้นแล้วก็จะเศร้าใจมากครับ ประมาณว่า เราขนอุปกรณ์เหล่านี้เพื่อที่จะมาใช้งาน แต่ดันไม่มีไฟใช้เพราะว่า charge ไฟไม่ได้ ทำให้ "ปลั้กหัวแปลง" เป็นเรื่องสำคัญสุดๆ และ ลืมไม่ได้กันเลยก็ว่าได้ แล้วก็จริงๆแล้ว สำหรับพวกอุปกรณ์การ charge ไฟฟ้า Notebook หรือ mobile phone นั้นเราไม่ต้องห่วงเรื่อง Volt สักเท่าไหร่เพราะว่า มันจะ cover ตั้งแต่ไฟฟ้า 110 V ยัง 220 V อยู่แล้วเสียบได้น่ะครับไม่ต้องคิดมากว่าแต่ละประเทศจะเป็นไฟฟ้าแรงดันอะไรครับ เอาเป็นว่า ปลั้กหัวแปลงเนียะ ลืมไม่ได้น่ะครับไม่อย่างงั้นการเดินทางจะกลายมาเป็นต้องเดินทางหาหัวปลั้กกันเลย (ถ้าหากว่าไม่ได้อยู่ในเมืองอีกด้วยแล้วล่ะก็ อย่าคิดว่าจะหาซื้อกันได้ง่ายๆน่ะครับนั่น โอ้ว … ขนของไปแล้วไม่ได้ใช้เพราะว่าเรื่องแค่นี้มันก็น่าจะน่าเศร้าอีกนักครับผม )
สำหรับหัวปลั้กแนะนำว่าอยากจะให้ซื้อเป็นชุด Universal เอาไว้เลยก็เป็นดีน่ะครับ แล้วก็ใส่เป็นซองกำมะหยี่หรือเป็นถุงแยกเอาไว้อย่าเอาไปเป็นชิ้นๆน่ะครับเพราะว่าเราไม่รู้หรอกว่าประเทศไหนจะหัวปลั้กมันเป็นแบบไหน ทางที่ดีเพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราก็ขนมันไปทั้งห่อน่ะครับ เรื่องว่าไม่ต้องเสียเวลามา check ข้อมูลใน internet ว่าหัวประเทศไหนใช้ยังไงกันหรอกน่ะครับ (แต่ก่อนผมทำน่ะครับแต่ว่าเดี๋ยวนี้ผมก็เอาไปหมดเลยน่ะครับ มันก็ไม่ได้หนักอะไรหรอกเนาะ แล้วก็มันจะได้ไม่หายด้วยเพราะ เราไม่ได้แยกชิ้นมันออกเป็นชิ้นๆ มันก็จะอยู่ครบเป็นกลุ่มก้อนไม่หายไปไหนน่ะครับ)
นอกจากหัวปลั้กแล้วเอาหัวเพิ่มรูเสียบไฟไปด้วยครับ !
เพราะว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่รู้หรอกว่าโรงแรมที่เรากำลังจะได้เข้าไปพักนั้นมันมีรูให้เสียบเยอะแยะแค่ไหน บางโรงแรมมีรูให้เสียบแค่รูเดียวหรือสองรูเท่านั้น หรือว่า ก็ต้องไปถอดปลั้กพวก lighting ในห้องเพื่อเอาอุปกรณ์ charger ของเราเสียบเข้าไปแทนที่ต้องมีการอาการมุดโต๊ะเข้าออก ผมว่ามันไม่สะดวกเอามากๆน่ะครับ ยังไงซะ ให้หาซื้อหัวแยกจ่ายไฟอันเล็กๆไปด้วยเอาที่ดูดีนิดหน่อยแล้วก็สายยาวนิดนึงประมาณว่าสามารถลากสายมาจากที่ไกลๆด้วยสักหน่อยก็ดีน่ะครับ เพราะผมเองจริงๆแล้วก็มีอุปกรณ์ที่จะต้อง charge ไฟมากกว่า 2 อุปกรณ์ด้วยซ้ำ หรือว่าถ้าหากว่ามีเพื่อนหรือพ่อแม่พี่น้องไปด้วยใน Trip เดียวกัน เป็นเพื่อนร่วมห้องหรือ roommate แล้วนี่ก็ยิ่งแล้วใหญ่ ความต้องการรูปลั้กจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณขึ้นกับความเป็น Geek ของเพื่อนร่วมห้องนั้นด้วยน่ะครับว่าเค้าจะต้องมา jam เพื่อ charge อุปกรณ์อีกกี่อุปกรณ์กันน่ะครับนั่น
ติดต่อผู้ให้บริการโทรศัพท์ว่าเครื่องจะ ROAMING หรือไม่ ?
เหตุผลในการ Roaming เบอร์ไทยของผมก็ไม่มีอะไรมากน่ะครับแค่ว่าอยากรู้ว่าใครโทรมาเท่านั้นเอง การรับโทรศัพท์ตอนที่อยู่เมืองนอกจะโดน charge rate แพงกว่าปกติมากครับ แล้วก็การรับโทรศัพท์แบบ Roaming จะมีแนวโน้มแพงกว่าการโทรกลับมาด้วยซ้ำเรียกได้ว่า การ reject call ใดๆที่โทรเข้ามานั้นเป็นเรื่องที่ผมทำอย่างไม่ต้องแยแส หรือ ไม่ได้รู้สึกแล้งน้ำใจที่ไม่ได้รับโทรศัพท์แตอย่างใดน่ะครับ สำหรับคนที่คุณคิดว่า เค้าอาจจะต้องมีการติดต่อเข้ามา ให้บอกเค้าไว้ว่า ถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรก็แล้วแต่ให้ทำการ SMS มาที่เบอร์มือถือ (ที่เปิด Roaming เอาไว้) แทนเพื่อจะได้รู้เรื่องก่อนว่ามันจะต้องคุยกันหรือเปล่า หรือว่า ผมแค่ส่ง SMS ตอบกลับไปก็หมดเรื่องแล้วหรือไม่ นอกนั้นถ้าหากว่าคุณมี POLICY รับหมด พวกขายประกันและ ขายบัตร credit ก็จะตามคุณไปถึงเมืองนอกเมืองนาด้วยน่ะหละ แต่ว่าคุณจะมี cost หรือต้นทุนเพิ่มเพื่อที่จะรับขาย cold call เหล่านี้ซะด้วยน่ะครับ
นอกจากนี้การเมมเบอร์ในมือถือถ้าหากว่าเป็นไปได้แล้ว การ mem เบอร์ด้วยแบบมีรหัสประเทศนำหน้าทั้งหมดเช่นเบอร์มือถือ +66811234567 ก็ให้เม็มเอาไว้แบบนี้น่ะครับ เวลาที่มันแสดง call in number เข้ามามันก็จะแสดงชื่อคนที่เราเม็มเอาไว้ได้น่ะครับ หรือว่าคุณดันไม่ได้เม็มเอาไว้แบบนี้ล่ะก็ ก็ให้ reject call ซะแล้วก็มากดเบอร์ดูว่าเป็นของใครก็ได้น่ะครับ ถ้าหากว่าเป็นคนที่คุณรู้จัก ก็อาจจะโทรกลับด้วย skype (เมื่ออยู่โรงแรมที่มี wifi ) ได้ครับผม
ขอให้เม็มเบอร์ call center ในรูปแบบ 02 ไว้ครับเผื่อว่ามีอะไรโทรก็จะได้ติดต่อได้
บังเอิญว่าผมใช้ AIS เป็น carrier มือถือของผมครับ เมื่อคุณอยู่เมืองนอกคุณจะใช้แค่กดเลขสั้นๆสี่หลักแล้วมันติด AIS นี่มันเป็นไปไม่ได้น่ะครับ นั่นก็แปลว่า คุณต้องขอเบอร์ 02 เอาไว้เพื่อให้ติดต่อกลับไปยัง call center ได้ถ้าหากว่าคุณต้องมีการสอบถามอะไรก็สุดแล้วแต่ (แน่นอนว่าผมก็ใช้ skype unlimited call นั้นน่ะหละโทรกลับไปหา AIS ไม่จำเป็นต้องใช้มือถือโทรหรอกน่ะครับ) ถ้าหากว่าคุณเป็น serenade อยู่แล้ว คุณก็โทรแบบ 02 กลับไปหา call center AIS ได้เลยน่ะครับ เบอร์ call center AIS แบบเบอร์บ้าน คือ 022719000
ให้ศึกษาเรื่องของ promotion internet แบบเหมาจ่าย ณ ประเทศนั้นๆก่อนไปก่อนเดินทาง
สำหรับกรณีฉุกเฉินแล้วจริงๆ คุณอาจจะไม่ได้อยู่ในโรงแรมหรือที่พักใดๆที่จะมี internet ให้ใช้เลย (ประมาณว่าไปแบบกันดาลมากไม่ได้แตะเมืองกะเค้าเลย) ก็ผมก็จะแนะนำว่าให้ติดต่อกับผู้ให้บริการมือถือซะก่อนว่า ถ้าหากว่าคุณจะต้องใช้ promotion หรือต่อ INTERNET GPRS หรือ EDGE แบบโรมมิ่งแล้วเนี่ยะ จะคิด rate แบบใด แล้วมี promotion เหมาจ่ายหรือคิดเป็น MB หรือไม่ ? แล้วกด activate ด้วยเบอรือะไรเพื่อที่จะทำให้มันใช้การได้ทันทีหรือไม่ เป็นต้น เพราะขอข้อมูลเอาไว้ก่อนไม่แน่น่ะครับ คุณอาจจะได้ใช้หรือจำเป็นต้องใช้ internet ผ่านมือถือก็ได้น่ะครับ
อีกประเด็นสำหรับเรื่องของ promotion Unlimited ของการใช้ EDGE/GPRS แบบ roaming มันจะมีเงื่อนไขแปลกๆอย่างหนึ่งคือ อาจจะมีการกำหนด carrier หรือระบบสัญญาณโทรศัพท์ตอนที่เราอยู่เมืองนอกด้วยว่า ถ้าหากว่าคุณจะใช้ internet แบบไม่อั้นจะต้องใช้เชื่อมต่อกับ carrier รายใดเท่านั้น ถ้าหากว่าเป็นรายอื่นจะไม่ได้ cover อยู่ในส่วน Unlimited นั้นก็แปลว่า ถ้าหากว่า บางเมืองมันหาสัญญาณของ carrier ผู้ให้บริการรายนั้นๆไม่เจอ ก็จงอย่าคิดว่ามัน unlimited น่ะครับเพราะว่า คุณจะ โดน charge ค่า internet อย่างไม่เป็นธรรมกันอย่างเห็นๆน่ะครับ แล้วเค้าก็จะคิดว่า "เราบอกคุณแล้ว >< " อะไรทำนองนี้ (ผมโดนเองกะตัวเลยเรื่องนี้น่ะครับ)
เพื่อการติดต่อกันได้แบบชิวๆให้หา SIM ของประเทศนั้นๆติดตัวเอาไว้ในในมือถือ low cost ไว้
ตอนที่เดินทางผมจะเอามือถือไปสองเครื่องน่ะครับเพราะว่า อีกเครื่องผมจะเอา SIM ประเทศนั้นๆใส่เข้าไป เหมือนกับเป็นพวกเติมเงินน่ะครับ อย่างประเทศจีนจะมีขายพวก ร้อยหยวน ก็ซื้อมาใส่ถ้าหากว่า คุณอยู่หลายวันมันก็จะคุ้มน่ะครับ แล้วก็ให้พนักงานหรือคนที่จะต้องติดต่อกับคุณโทรเข้ามาหาคุณเป็นระยะๆ เพราะว่า คุณอาจจะมีอะไรอยากบอกพวกเค้ากลับไปทางกรุงเทพก็ได้แต่ว่าคุณไม่ได้อยู่ใน เขต wifi ตลอดเวลา เพราะว่า Skype มันโทรเข้าประเทศจีน ทั้งเบอร์บ้าน แล้วก็เบอร์มือถือได้อย่างไม่อั้น ผมก็สั่งพนักงานเอาไว้ (หรือผมก็โดนสั่งเอาไว้เหมือนกัน) ว่าให้ติดต่อเบอร์จีน SIM ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาทุกๆสองชั่วโมงตอนกลางวัน เผื่อว่ามีข่าวสาร update อะไรก็จะได้บอกกันได้ อย่างไม่มีต้นทุนเพิ่มเลยแม้แต่บาทเดียวน่ะครับ (ประเทศจีนนี่ชิวเลยน่ะครับ ดีๆ ..)
จริงแล้ว เมื่อคุณได้ SIM ประเทศนั้นๆมาแล้ว คุณก็แค่เอามือถือที่คุณเปิด ROAMING ยิง SMS ไปบอกหรือว่า email ไปบอกก็ได้น่ะครับ เท่านี้การติดต่อระหว่างคุณที่อยู่เมืองนอกเมืองนากับ office หรือคนที่จะต้องติดต่อตลอดเวลาก็กระทำได้อย่างไม่มีต้นทุนเพิ่มแล้วล่ะครับ
smart phone โดยเฉพาะ iPhone ถ้าคุณไม่ใช้ GPRS ROAMING ให้ปิดมันซะ !
เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะป้องกันการใช้งาน data transfer ของ iPhone ได้อย่างสมบูรณ์ หรือถ้าหากว่าได้จริงๆ แล้วมันก็ยุ่งยาก สำหรับ AIS (เครือข่ายที่ผมใช้) มันจะมีปุ่มรหัสตัวเลขเพื่อกด แล้วเป็นการกำหนดไปยังระบบเครือข่ายผู้ให้บริการมือถือ ทำการ block GPRS โดยสมบูรณ์ (เราไม่ได้มาทำการ block ที่เครื่องนะครับ เรา block กันที่ระบบเลย !) แบบนี้จะ sure มากๆว่าเมื่อคุณเปิด iPhone เพื่อรอรับสายโทรศัพท์แบบ Roaming ต่างประเทศแล้ว เจ้า iPhone มันไม่ได้สะเออะไปต่อ internet ยิงข้อมูล (ราคาแพง) เป็นว่าเล่นน่ะครับ
คำค้นหาของคุณที่มาเจอหน้าเว็ปนี้:
- เตรียมตัวไปเซี่ยงไฮ้
- การเตรียมตัวก่อนไปต่างประเทศ
- ais roaming rate
- เอามือถือไปเมืองนอก