อาการป่วยไข้หวัดใหญ่ครั้งนี้สอนอะไรผมอยู่หลายเรื่องเลยล่ะครับ

พักนี้ผมมีอาการป่วยอยู่ อาการก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ แค่เมื่อประมาณสักสองสัปดาห์ที่แล้ว ไปเมืองจีนแล้วติดไข้หวัดใหญ่มา ทำให้นอนซมอย่างน้อยหลังจากการมาจาเมืองจีนก็ประมาณสักห้าวันเห็นจะได้ อาการป่วยนอนซมแบบนี้ คุณหมอบอกว่าถ้าหากว่า อยากให้ดีตอนแรกน่าจะมานอนโรงพยาบาลมากกว่า เหตุผลก็แค่ ไม่อยากจะให้ไปแพร่เชื้อให้คนอื่นเค้า ซึ่งว่าที่ไปหาหมอแล้วนั้นเป็นวันที่สามแล้วล่ะมั้งหลังจากที่มีอาการไข้

ไม่ใช่อะไรไรหรอกตอนแรกผมก็คิดว่ามันเป็นอาการไข้ธรรมดา เหมือนเป็นไข้หวัด(เล็ก) ทั่วไป แต่ปรากฏว่าอาการเป็นมากกว่านั้นคือมันเป็นนานไม่หายสักทีทำให้ต้องไปหาหมอตรวจดูสักหน่อยว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ครับ อีกอย่างคนที่บ้านก็เป็นห่วงเอาการเลย เพราะ กลัวว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ (หรือที่เรียกว่าไข้หวัดสองพันเก้า) ก็สุดท้ายก็ต้องไปตรวจกับคุณหมอครับที่โรงพยาบาลบางปะกอก9 ซึ่งไม่ไกลจากบ้านผมสักเท่าไหร่ ก็บอกหมอว่าอยากจะให้ตรวจอะไรรวมถึงการ check เลือดเพื่อดูเชื้อว่าไข้หวัดนั้นเป็นพันธ์อะไร

ผลปรากฏก็คือเป็นพันธ์ที่ใกล้เคียงกับสองพันเก้า แบบหมอบอกว่า เป็นพี่น้องกัน (ก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันน่ะครับว่าไข้เนี่ยะมันมีการเป็นพี่เป็นน้องกันได้ด้วยเหรอ O-o แอบคิดอยู่ในใจไม่ได้คุณหมอออกไปโพร่งๆครับ) แล้วก็ได้ยามาชุดใหญ่ชุดนึง ซึ่งก็มีตัวยาตัวหนึ่งที่คุณหมอบอกว่า เป็นยาเพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่สองพันเก้าด้วย เช่นเดียวกัน แต่ใช้ด้วยกันได้ มันรักษาอาการได้เหมือนกัน

แล้วก็ทานยาไปสักพักใหญ่ๆ ทำให้อาการไข้ก็ลดหายไปแต่ใช้เวลานานกว่าไข้หวัดเล็กธรรมดาอยู่ และอาการไข้พวกนี้มีผลต่อสภาพร่างกายตอนที่ป่วยได้รุนแรงกว่าไข้หวัดปกติน่าดูครับ ผมไม่เคยที่จะป่วยด้วยโรคที่หนักขนาดนี้ครับ (บางคนอาจจะคิดว่าธรรมดา แต่สำหรับผมเป็นเรื่องใหญ่น่ะครับ ก็แบบนี้น่ะหละคนมันไม่เคยนี่หน่า)

อาการที่เหลือและค้างต่อจากนั้นมาอีกสองสัปดาห์คือ อาการไอเรื้อรัง ที่ยังไม่หาย แม้กระทั่งตอนพิมพ์อยู่ตอนนี้ก็มีอาการระคายคออยู่บ้างเล็กน้อย แม้ว่าจะกินยาและไปหาหมอซ้ำแล้วเพิ่มเติมก็ตาม แต่อาการไอนี้ก็ค่อยๆดีขึ้น อาการไอนี้ผมไปหาหมอเพื่อไปตรวจปอดโดยการ x-ray แล้วก็ไม่ได้พบสภาพของความผิดปกติในปอดแต่ประการใด ทำให้หมอบอกได้แค่ว่า น่าจะเป็นอาการอักเสบของหลอดลม ก็จัดยาเกี่ยวกับการรักษาอาการอักเสบหลอดลม และ พวกยาลดอาการไอ (ยาแก้ไอนั่นเอง) ให้กับผมมาอีกชุดใหญ่เพื่อให้กินได้ห้าวัน ถ้าหากว่า 3 วันเห็นอาการไม่ดีขึ้นก็ต้องไปหาหมอที่เค้าแนะนำจะเป็นหมอเกี่ยวกับปอดและทางเดินหายใจ เพราะ หมออายุรกรรม ไม่รู้ว่าจะแก้หรือว่าดูอาการอะไรเป็นพิเศษแล้ว แต่คิดว่าผมน่าจะตรงประเด็นมากๆแล้วล่ะครับ เพราะผมกินยาไปชุดนี้ก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆตามลำดับ เพราะ กลางคืนก็นอนได้มาสองคืนแล้ว และก็ไม่ได้มีอาการไอตอนกลางคืนเลย ..

ผมว่าการป่วยงวดนี้ ผมได้เรียนรู้อะไรมาหลายอย่างครับ เท่าที่คิดออก และ ปักอยู่ในความคิดความอ่านของผมเลยก็คือ ประเด็นต่างๆเหล่านี้ครับผม

การที่เป็นโรคนั้นมันไม่ดีเอามากๆเลย เป็นภาวะที่อยากจะไม่อยู่ในสภาพนั้น ทางพุทธเองก็คือ ทุกขัง ครับ แน่นอนว่าทุกคนไม่อยากจะป่วย แล้วก็หลุดออกจากสภาพอันไม่เป็นปกติสุข แค่ประเด็นเดียวที่ผมรู้ว่ามันทำให้การดำเนินชีวิตได้ไม่ปกติ คือ กับแค่เรื่องอาการไอระคายคอเท่านั้น ก็ทำให้เป็นทุกข์ได้แล้วล่ะครับ

ความเป็นมีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เหมือนกับที่เราๆท่านๆรู้กันครับ ไม่ป่วย แล้วก็มีสภาวกายที่แข็งแรงปกตินั้น เป็นเรื่องดีสุดๆแล้ว เพราะแค่อาการของโรคอะไรนิดหน่อยทีมีการส่งสัญญาณไปที่สมองเพื่อให้รับรู้อาการ ทำให้เราคิดหรือดำเนินชีวิตได้อย่างไม่ปกติ ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะ case ผมคือ อาการไอ ทำให้คุยและติดต่อกับคนอื่นได้ไม่สะดวก เพราะว่า จะทำตัวเหมือนกับระคายๆคอ แล้วก็เหมือนกับว่าจะไออยู่นั่นเอง เสียงที่พูดออกมาก็ไม่ปะติดปะต่อ ทำให้ต้องเน้นทำงานที่ไม่ได้พูดมาพักใหญ่ๆแทนไปก่อนน่ะครับ

เรื่องของความเป็นโรคนั้น ถ้าหากว่าคนเรามีสุขภาพแข็งแรงดี จะคิดไม่ออกหรอกครับว่า ตอนนั้น status ร่างกายของคุณเป็นยอดปราถนาของคนที่มีโรคหรือป่วยอยู่ ซึ่งผมก็เป็นอย่างงั้นเหมือนกัน เพราะ เรารู้สึกเป็นปกติ จนทำให้เราคิดว่า มันเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเป็นอย่างงั้น และไม่ได้คิดว่า มันเป็นสิ่งที่วิเศษดีเยี่ยมอยู่แล้วสำหรับสภาวะร่างกายที่เป็นปกตินั้นครับ ผมว่าหลายคนก็คงจะคิดแบบนี้เหมือนกันสำหรับคนที่ไม่เคยมีอาการป่วยหนักๆครับ ดังนั้นแล้ว ผมว่าต่อจากนี้ผมจะพึงใจระลึกไว้ว่า ภาวะการณ์ที่เราอาศัยอยู่อย่างไม่เป็นโรค และ มีอาหารการกินที่ดีและไม่ก่อให้เกิดโรคได้นั้นเป็นเรื่องที่ต้องขอบคุณในความโชคดีเหล่านั้นครับ

คนที่เป็นห่วงเราที่สุด ยังไงซะก็จะเป็นคนในครอบครัวของเรา เพราะแม้ว่าเราจะโตมากขนาดนี้แล้วก็ตามยังจะได้รับการดูแลเหมือนกับเด็กๆอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการถามไถ่ หรือ แม้กระทั่งจัดกาละมัง แล้วก็ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆให้กับเราเพื่อให้ไปเช็ดตัว ถึงแม้ว่าสิ่งของเหล่านั้นผมจะไม่ได้ใช้ (เพราะว่าผมก็อาบน้ำฝักบัวน่ะหละเร็วดีสะดวกด้วย เหมือนเดิม) ก็มาคิดอีกครั้งและอีกครั้งก็ รู้สึกขอบคุณกับความห่วงใยเหล่านั้นเป็นอย่างมาก

อีกประเด็นที่ผมคิดแล้วก็น่าตกใจอยู่เหมือนกัน คือ ความตายเกิดขึ้นอย่างสุ่มจริงครับ ทำไมผมคิดอย่างงั้น ? เพราะแท้ที่จริงแล้ว ไวรัสที่จะมาติดผมนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใกล้เคียง 2009 ก็ได้ อาจจะเป็นไข้หวัดใหญ่2009 ไปเลยก็ยังได้ ไม่ได้มีใครมากำหนดไว้หรอกว่าผมต้องคิดตัวไหนกันแน่ ขึ้นกับความสุ่มที่เกิดอยู่ในโลกเราอยู่แล้ว แค่ว่าผมโชคดีที่ไม่ได้ติดมาเป็น2009 เท่านั้นเอง เพราะถ้าหากว่าติดสองพันเก้าแล้วผมทำตัวอย่างที่ผมทำไปคือ นอนรอไปเรื่อยไม่ได้ไปดูอาการ check สภาพเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อล่ะก็คิดว่าไม่น่าจะรอดได้ครับ ทำให้ดูเหมือนกับว่า ความตายนั้นใกล้เหลือเกินครับและเกิดขึ้นอย่างสุ่ม ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าหากว่าตายไป ตอนนี้ผมก็คงไม่ได้มานั่งพิมพ์ blog ที่ผมซื้อ Domain name ทิ้งไว้ต่ออายุไปสองปีล่ะครับ (แหม จริงๆผมไม่ได้ห่วงแค่เรื่องนี้หรอกนะครับ) ไม่น่าเชื่อว่า ถ้าหากว่าเราคิดว่าความตายอยู่ใกล้แค่นี้ ผมก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่า ผมจะมี routine ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างไร ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ แสดงว่า ภาวะการใช้ชีวิตผมแบบนี้ คือ การใช้ชีวิตที่ดีที่สุด แล้วอย่างงั้นหรือ ? เพราะผมก็แปลกใจตัวเองว่า ผมไม่ได้มีพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แค่ความรู้สึกรักตัวเองมันเปลี่ยนแปลงระดับไปเท่านั้นเองครับ แต่ไม่เป็นไรเพราะว่าผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าผมจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรสักเท่าไหร่อยู่แล้ว แค่สังเกตตัวเองเท่านั้นเองครับ

เรื่องราวทั้งหมด ..ก็ อย่างว่าล่ะครับ ผมไม่ค่อยได้ป่วยสักเท่าไหร่ แล้วอาการป่วยหนักๆหน่อยถึงระดับที่คุณหมอมีแนะนำให้นอนโรงพยาบาลนี่ก็ไม่เค้ยไม่เคยเลยจริงๆ ก็ครั้งนี้น่ะหละที่เป็นครั้งแรกก็ แม้ว่าจะเป็นการป่วยที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ก็ทำให้ผมคิดอะไรไปได้อยู่เหมือนกันครับ ยังไงซะก็ต้องขอบคุณอาการป่วยครั้งนี้ด้วยครับ (แต่ว่าจริงๆถ้าหากว่าไม่ป่วยเลยก็น่าจะดีกว่าอยู่ดีนั่นแล..)

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *