ฟังแล้วคิดเสียก่อนว่าคนพูดเพื่อให้เราเชื่อนั้นมีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง

think-speak

ข้อมูลที่ไหลผ่านการรับรู้ของเราในตอนนี้ มีได้หลายช่องทางเอามากๆ ทำให้เราต้องมีความคิดในการกรองข้อมูลและเลือกที่จะเชื่อแบบมีข้อสงสัยเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งเชื่อไปเสียทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการบอกกล่าวจากเพื่อนฝูง ผู้หลักผู้ใหญ่ หรือแม้ระทั่งคนที่เรานับถืออยู่

การโอนถ่ายของมูลไม่ว่าด้วยการพิมพ์(เขียน)เพื่อให้อ่าน หรือแม้การสื่อสารด้วยคำพูดภาษาเพื่อให้รับทราบได้ด้วยสัมผัสหู และไหลเข้าสมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ยกเว้นคุณจะมีสุดยอดทักษะหูทวนลม และความสามารถในการปฏิเสธการรับรู้จากเสียง) เมื่อคุณได้รับเนื้อหานั้น สมองของคุณเองเบื้องต้นจะ “เชื่อ” และรับความสิ่งนั้นเป็นความจริงเสียก่อน ก่อนที่คุณจะเริ่มมีสติก็กรองข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และจุดมุ่งหมายเบิ้องหลังออกจากกันได้

คนที่สื่อความมีจุดมุ่งหมายอะไรเบื้องหลัง

ก่อนอื่นคุณต้องทราบก่อนว่า ไม่มีใครบอกอะไรคุณแบบไร้เหตุผล (แม้ว่ามันจะเป็นเหตุเป็นผลกันหรือไม่ก็ตาม) ไม่มีคำพูดขึ้นมาลอยๆ แม้ว่ามันเหมือนกับการพูดบ่นขึ้นมาลอยๆก็ตาม เช่น เห็นคนทำงาน แล้วพูดกับตัวเองว่าเหนื่อย แต่ความเป็นจริงแล้วคนที่พูดนั้นต้องเห็นเราเสียก่อน เพื่อที่บอกเอ่ยวาจาออกมาว่า “เหนื่อย” เพื่อให้เรารับรู้อะไรบางอย่าง และมีเหตุผลในการพูดแอบแฝงไว้ตั้งแต่ต้นอย่างไม่ต้องออกแรงคิดมาก

จุดมุ่งหมายในการเอ่ยข้อความหรือถ้าหากว่ามันยาวมากก็จะเป็นข้อมูล เมื่อตัวอักษรหรือคำเหล่านั้นไหลผ่านในรูปแบบของตัวหนังสือหรือคำที่ลอยมาตามลมผ่านการกระแทกของแรงดันอากาศกระทบแก้วหู มันก็จะสื่อส่งผ่านไปยังสมองทันที สิ่งแรกที่คุณจะต้องเริ่มกังขาก็คือ คำพูดเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนพูดรับรู้และไม่บิดเบื่อนจากความคิดใต้จิตสำนึกนั้นแล้วหรือไม่ โดยเป็นแนวคิดที่คนๆนั้นฝังหัวอยู่แล้ว และเชื่อตามนั้นอย่างจริงจังและไม่ม่ีข้อกังขาฝังอยู่ในหัวของคนพูดอีกแล้วหรือไม่
หากคุณวิเคราะห์จากอาการ อุปนิสัยและสถานการณ์แล้ว ถ้าหากว่าเป็นคนพูดจริง และดูเหมือนว่าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องหรือแนวคิดดังกล่าวหากเราฝังแนวคิดนั้นเข้าไปที่หัวเราแล้ว ก็แนวโน้มเป็นไปได้มากว่า คนๆนี้น่าจะพูดความคิดและแพร่ออกมาด้วยคำพูดเพื่ออัดแนวคิดเดียวกันนี้ให้กับเรา อาจจะด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เพื่ออยากจะให้ทราบข้อมูลเพื่อระวังตัว หรือ เพื่อให้ข้อมูลในเชิงที่อาจจะเป็นประโยชน์แก่คนที่ได้ฟัง เป็นต้น

เช่น ถ้าหากว่ามีคนบอกให้คุณไปข้ามถนนที่ไฟแดง คนที่คุณเดินมาด้วยกันที่เป็นคนกล่าวคำพูดนี้เป็นคุณแม่ของคุณเอง คุณอาจจะสามารถแยกแยะเรื่องราวหรือคำพูดเหล่านี้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อประการใดกันแน่ได้ไม่ยากเลย สำหรับกรณีนี้ แม่คุณต้้องการให้คุณข้ามถนนให้ปลอดภัย เพราะ แม่ของคุณจะมีส่วนได้ส่วนเสียจากการกระทำของคุณครั้งนี้ด้วย แน่นอนว่า แม่ของคุณต้องการให้ตัวคุณเอง (หรือลูกของคุณแม่) มีโอกาสประสบอุบัติเหตุที่น้อยลงไป เพร่าะ หากเกิดแล้ว ตนเองนั้นจักต้อเสียใจอย่างมากด้วยเช่นเดียวกัน

ลองสมมุติอีกกรณี กับประโยคคำพูดแบบเดียวกัน คือ “ไปข้ามถนนที่ไฟแดง” แต่คนพูดนั้นกลับเป็นตำรวจที่อยู่แถวนั้นและกำลังโบกรถอยู่เมื่อเห็นคุณกำลังจะข้ามถนนก็หันมาบอกคุณเสียอย่างนั้น แต่สิ่งที่สื่อสารกลับแตกต่างออกไปอันเนื่องจากบุคคลที่เรารับรู้ว่า เป็นคนที่ต้องทำหน้าที่เพื่อรักษากฏหมาย และ ไม่อยากให้เกิดปัญหาตอนที่ตนเองปฏิบัติหน้าที่อยู่ อาจจะไม่ต้องแสดงสื่อถึงความเป็ฯห่วงเป็นใยมากนัก เนื่องจากมันเป็นหน้าที่ที่ตนต้องดูแลนั่นเอง ทำให้สองกรณีระหว่างการพูดจากคุณแม่ และการพูดโดยตำรวจนั้นให้ความหมายหรือสื่อจากความคิดเบื้องหลังไม่เหมือนกันราวฟ้ากับดิน

ย้อนกลับมาประเเด็นเดิมก่อนที่ผมจะยกตัวอย่างไป ก็คือ ต้องพิเคราะห์เสียก่อนว่า คนพูดมีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ วัตถุประสงค์แอบแฝงเมื่อเราเกิดเชื่อและปฏิบัติตามสิ่งที่คนพูดได้บอกกล่าวไว้ คนพูดนั้นมีส่วนได้ส่วนเสียทางตรงและทางอ้อมใดๆหรือไม่ (เราอาจจะคิดออกหรือคิดไม่ออกก็ได้แล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคนไป) คุณจะสงสัยเอาไว้ก่อนว่าทำไมถึงพูดเช่นนั้น โดยมากแล้วการพูดที่ออกมาจากแนวคิดของคนพูดที่เชื่อในเรื่องนั้นๆจริงๆ คนพูดมักจะไม่ได้ประโยชน์ใดสักเท่าไหร่ หรือไม่ได้เเลย หรือ เสียประโยชน์ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นเสียเวลาเพื่อบอกให้คุณได้รู้หรือเสียประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ

การพูดออกมาอีกแบบก็คือ การพูดหรือสื่อสารที่มีการบิดเบือนไปจากความคิดแท้จริงที่ตัวเองเห็นด้วย กล่าวคือ เป็นการกล่าวพูดเพื่อหวังว่าเมื่อคนฟังได้รับทราบแนวคิดจากคำพูดของตนแล้ว แล้วคนพูดจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อย ประโยชน์ที่ว่านี้อาจจะเป็นเรื่องน้อยมากๆไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกถึงอีโก้ หรือความมัน่ใจในแนวคิดความคิดของตนเอง หรือแม้กระทั่งผลประโโยชน์ในรูปแบบอื่นๆเช่นตัวเงิน ความน่าเชื่อถือ ความเชื่อใจ การยอมรับ (ในความเก่ง) และการได้รับการเคารพ เป็นต้น

กรณีตัวอย่างง่ายๆที่คนพูดนั้นมีการบิดเบือนความเชื่อของตัวเอง เช่น คนขายสมาชิกฟิตเนส คนขายส่วนมากจะไม่ได้เป็นคนที่ออกกำลังกายให้เราเห็น และ เราก็เห็นได้จากรูปร่างภายนอกได้ไม่ยาก เพราะถ้าหากว่าออกกำลังกายเป็นประจำ เราก็จะดูออกอยู่แล้ว คนๆนี้อ่อกกำลังเป็นประจำฟิตและเฟริมสมส่วนเป็นต้น แต่คนขายสมาชิกกลับบอกออกมาว่า ฟิตเนสต้องเข้าเป็นประจำเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรงและหุ่นดีการสมัครสมาชิกจะทำให้คุณมีที่ๆได้ออกกำลังกายได้สะดวก ถ้าหากคุณคิดตามอยู่ เมื่อคุณเห็นคนขายสมาชิกฟิตเนสแล้วเป็นคนอ้วนมากๆ คุณคงแทบไม่เชื่อเลยสักนิดในสิ่งที่เขากล่าวออกมาใส่ส่วนของเส้นวัด

เอาเป็นว่า ถ้าหากว่าคุณได้ยินได้ฟังอะไรมาแล้ว ให้คิดเสียก่อนว่า มันมีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อคนทุกคน แต่คุณต้องคิดเองว่าเพราะเหุตใดๆทำไมถึงจึงพูดบอกเราเช่นนั้นเพื่อให้มีสติในการรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว   

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *