link นี้เป็นหน้าเว็ปที่ประเมินว่าคุณจะมีอายุเฉลี่ยเท่าไหร่จากตำแหน่ง IP ที่คุณเข้าดูหน้าเว็ปไซท์ โดยให้คุณระบุว่า คุณเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเท่านั้น และมันจะแสดงว่าคุณมีเวลาเหลืออยู่บนโลกนี้อีกเท่าไหร่โดยเฉลี่ย
http://theblog.de/projects/carpediem/
โลกเราตอนนี้ การแพทย์พัฒนาไปเยอะกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้คนเรามีอายุยาวออกไปกว่าเดิมตามไปด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า คนจะไม่ตายได้ นักวิทยาศาสตร์มีความพยายามที่จะค้นหาสาเหตุของการตายจากโรคที่เป็นอันดับแรกๆของคนที่อยู่ดีมีสุข ก็คือโรคมะเร็ง(ไม่ว่าส่วนไหนก็ตาม) แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีแนวโน้มว่าจะหาทางออกได้สำเร็จด้วยวิธีการที่แน่นอน หรือแปลความว่าได้ว่า หากว่าคุณเป็นมะเร็งขึ้นมาเมื่อไหร่ ทำให้มีแนวโน้มว่าคุณจะเสียชีวิตในระยะเวลาไม่เกินสิบปีข้างหน้า คนที่โชคดีตรวจเจอแล้วพบว่ารักษาได้ทันแล้วก็รอดมาได้นั้น ทำให้คนที่เป็นประสบพบเจอโรคแบบนี้มีมุมมองต่อโลกที่เราอยู่แตกต่างออกไปจากเดิมมาก ความทะเยอทะยานอยากมีทรัพย์สะสมนั้นแทบมลายหายไป ราวกับว่าทรัพย์สินทั้งหมดที่หามานั้นไม่ค่าอีกต่อไป กับแค่การที่ได้มีโอกาสได้ตระหนักรู้ถึงโรคที่จะไปสู่ความตายได้แวะเวียนมาอย่างไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าก็ทำให้ความคิดของคนที่เจอเรื่องราวเหล่านี้ปรับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ทันที ราวกับว่า ตอนนี้คนที่อยู่ก็จะไม่คิดว่าจะตายไปเมื่อไหร่ (แน่นอนว่าถ้าหากว่ารู้ว่าจะตายเมื่อไหร่คนเราก็จะไม่ขยันทำมาหากิน ไม่คาดหวังและไม่วาดฝันอะไรต่อไปอีกแล้ว แต่ทุกๆก็รู้อยู่ว่าจะต้องตายแน่ๆ แค่ว่าไม่รู้ว่าความตายนั้นจะเข้ามาแวะเวียนมาเมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง)
เคยมีคนถามผมว่าถ้าหากว่า ถ้าหากว่าคนเรารู้แน่ชัดว่าจะตายวันไหนได้ คนๆนั้นจะคิดและมีพฤติกรรมอาศัยอยู่บนโลกนี้อย่างไรกัน … ผมก็นั่งคิดอยู่สักพักแล้วก็คิดออกได้ว่า ถ้าหากว่ารู้ว่าจะต้องตายเมื่อไหร่ คนๆนั้นจะกล้าทำอะไรเสี่ยงๆแบบไม่คิดมาก เพราะรู้อยู่แล้วว่าตนจะไม่ตายเอาวันนั้น เหมือนว่าคำถามนี้จะเป็นความบกพร่องและขัดตรรกะของตัวเองตั้งแต่ตั้งคำถามออกมาแล้ว
แต่ถ้าหากว่าถามใหม่ว่าถ้าหากว่าทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ แล้วคนเราจะมีพฤติกรรมหรือคิดอยู่อาศัยอยู่ในโลกนี้อย่างไร โดยที่เราไม่รู้หรอกว่าจะตายเมื่อไหร่แต่แค่รู้ว่าต้องตายแน่ๆ … คำถามแบบนี้แท้ที่จริงแล้วก็คือ สิ่งที่คนทุกคนรู้แทบทั้งนั้นแล้วนั่นก็หมายความว่า โลกที่มีคนรับรู้ว่าคนต้องตายแน่ๆมันก็จะออกมาเป็นแบบนี้นั่นเอง ก็คือ โลกที่ไม่ต้องคิดถึงความยั่งยืนระยะยาว สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างไม่อั้น และไม่ต้องคิดมากเมื่อเกิดปัญหาระยะยาวแล้ว หรือปัญหาต่อการใช้ทรัพยากรโลกนั้นเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป คน ณ ยุคนั้นๆก็จะไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาขึ้นกับตนเองได้ เพราะรู้อยู่ว่าปัญหาระยะยาวกว่าช่วงอายุตัวเองจะไม่เกิดถ้าหากว่าจะเกิดก็เกิดไกลออกมาไปหรือไกลกว่าอายุที่ตัวเองจะมีได้นั่นเอง
ลองมองโอกาสเสียชีวิตใหม่เสียหน่อย
เหมือนว่าทุกคนจะรู้ว่าอายุเฉลี่ยของคนเราจะมากขึ้นเรื่อยๆทุกวันๆอันเนื่องมาจากความป่วยแล้วไม่ตายไป ทำให้ต้องมาตายด้วยโรคมะเร็งหรือว่าโรคอะไรที่มีผลมาจากความกินดีอยู่ดีแทนกัน โรคมะเร็งนั้นเป็นโรคที่วงการวิทยาศาสตร์พอจะเห็นลางๆว่า มันจะเกี่ยวข้องกับความเป็นอำตะของสิ่งมีชีวิตกันเลย ถ้าหากว่าแกะหรือไขความลับเรื่องราวทำนองนี้ได้สำเร็จ คนเราก็อาจจะมีชีวิตได้มากกว่า 100 ปีเป็นค่าเฉลี่ยกันเลยก็ได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ผมว่าไม่น่าจะคาดหวังสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ในอีก 100 ปีนี้เช่นเดียวกัน การค้นพบอะไรที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ โอกาสเรียกว่ามีน้อยเอามากๆยิ่งเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเกิดและการตาย ความเป็นอำตะด้วยแล้ว เรียกว่าได้ธรรมชาติน่าจะซ่อนความลับนี้เอาไว้อย่างลึกซึ่้งจนไม่สามารถจะถอดรหัสออกมาได้กันเลยทีเดียว
เมื่อเวลาผ่านไป อายุคนก็จะมากขึ้น คนเราจะนับอายุตัวเองเป็นหน่วยปีเป็นหลัก เพราะดูเหมือนว่าเป็นหน่วยนับทางอายุที่ดูตัวเลขไม่มากเกินไปและเข้าใจกันได้ไม่ยาก (เพราะ 1 รอบปียาวพอประมาณและมีธรรมชาติที่มาบอกเราอยู่แล้วว่าอะไรเรียกว่า ครบปี ) โอกาสมีชีวิตอยู่รอดในอีก 1 ปีข้างหน้าจะลดลงเรื่อยๆและจะก้าวกระโดดมากขึ้นเรื่อยๆ แถวๆช่วงค่าเฉลี่ยอายุประชากรของประเทศนั้นๆ
วิธีคิดว่าความตายในแต่ละปีนั้นมีเยอะแค่ไหนอาจจะมองได้จากรอบตัวคุณโดยให้เอาเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เช่นเพื่อนร่วมห้องสมัยเด็กๆมาเป็นตัวแทนของประชากร เพราะอายุเฉลี่ยของคนทั้งรุ่นจะเท่ากันทั้งหมด ไม่เกินบวกลบ 1 ปี ลองคิดต่อไปว่า ณ อายุเฉลี่ยของประชากรนั้น จะต้องมีเพื่อนร่วมห้องของคุณทั้งหมดตายไปครึ่งหนึ่ง ! เช่น ถ้าตอนนี้อายุเฉลี่ยชายไทยคือ 69 ปี นั่นก็แปลว่า โอกาสที่คุณจะมีอายุอยู่ถึง 69 ปีนั้นมีแค่เดียวเท่านั้นเอง หรือแปลความทางสถิติให้คนคิดอ่านออกเข้าใจได้ก็คือ คุณจะมีอายุอยู่รอดถึงอายุ 69 ปีแค่ 50/50 เท่านั้น เพราะงั้นแล้ว ให้คุณคาดหวังเอาไว้ได้เลยว่าถ้าหากว่าเวลาเดินไปเพื่อนของคุณจะตายไปทีละคนสองคน โดยคุณก็เป็นหนึ่งในประชากรนั้นด้วยเหมือนกัน (อย่าคิดว่าคุณจะรอดทางสถิติไปได้) คนที่ตายไปจะเกิดขึ้นอย่างสุ่มโดยไม่สนยากดีมีจน ไม่สนว่าจะมีการรักษาสุขภาพมากน้อยแค่ไหน ทุกอย่างจะเป็นไปตามสถิติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นแน่แท้
แย่หน่อยที่ข้อมูลใน internet นี้ไม่ได้มีการประเมินหรือบอกค่าการกระจายข้อมูลมากสักหน่อย ถ้าหากว่ามีจะทำให้เราคิดต่อได้อีกว่าเมื่อถึงอายุเท่าไรจะมีโอกาสรอดต่อไปเพื่อเป่าเทียนวันเกิดตัวเองด้วยโอกาสเท่าไหร่และโอกาสตายในปีนั้นๆคือเท่าไหร่กัน
อย่างไรก็ดีตัวเลขเฉลี่ยนั้นจะมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะ มีคนตายมากขึ้นเรื่อยๆ ณ เวลาเฉลี่ยปัจจุบัน (คิดแบบ moving average จะทำให้ได้ค่าเฉลี่ยปรับเปลี่ยนไปตามเวลาโดยละข้อมูลที่เก่าๆออกไปเรื่อยๆด้วยสัดส่วนเท่าไหร่ก็สุดแล้วแต่น้ำหนักที่จะประเมิน) ใครๆก็รู้ว่าโรคใดๆก็จะมีคนคิดออกว่ารักษาอย่างไรกัน ทำให้โอกาสตายจากการใช้ข้อมูลตอนนี้เพื่อการประเมินนั้นอาจจะดูเหมือนว่าไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่แต่ทั้งนั้น ก็อย่าเพิ่งคิดว่าคุณจะรอดไปได้ ถ้าหากว่าค่าเฉลี่ยนั้นขยับเพิ่มขึ้นได้น้อยกว่า 1 ปีภายใน 1 ปีก็แปลว่าคุณมีอายุมากขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยอายุขัยอยู่ดี
การคิดว่าจะตายเมื่อไหร่นั้นจะไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะแนวโน้มถ้าหากว่าทุกคนมัวแต่คิดว่าจะต้องตายแน่ๆ ก็จะทำให้คนๆนั้นทำอะไรก็ได้ตายใจที่อยากจะทำ และอะไรที่ต้องทำเพราะน่าเบื่อไม่ท้าทายไม่ได้ดูเหมือนว่าจะเป้าหมายชีวิตอะไรของใครได้ ตำแหน่งงานหรือกิจกรรมนั้นๆก็จะไม่มีคนทำ ซึ่งแน่นอนว่า มันก็จะขาดฟันเฟืองการขับเคลื่อนสังคมหมู่มากไปนั่นเอง หรือแย่กว่านั้นทุกคนหันไปหาทางออกเป็นทางธรรมกันหมด ก็จะไม่มีคนทำงานแบบที่เหมือนมดงานทำงานเพื่อก่อสร้างรัง เพราะมดงานตัวนั้นรู้อยู่ในใจว่าอย่างไรก็ดีจะต้องขาดใจตายตอนที่ทำงานอยู่นั่นน่ะหละ มดงานตัวนั้นก็อาจจะไม่ทำงานเพราะคิดว่างานนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิตของมดตัวนั้น