กำจัดเวลาตายด้วย Kindle Global Wireless ereader device : productive สุดๆแล้ว
แน่นอนว่าเว็ปนี้พูดถึงการใช้เวลาให้คุ้มค่าให้มากที่สุด หรือทำอะไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุดต่อเวลา (แนว productive สุดๆ ไม่อย่างงั้นไม่มี productivity ในการใช้ชีวิตน่ะครับ) เวลาหนึ่งที่คุณจะต้องผ่านพ้นคือ Dead time หรือ เวลาตาย ที่ผมอาจจะไม่พิมพ์ออกมาว่า ผมเรียกมันว่า เวลาตาย แต่ว่ามันไม่ได้หมายถึงว่าที่คุณจะตายแต่อย่างใดน่ะครับ ผมอธิบายอีกหน่อยแล้วกันนะครับว่า เวลาตายคืออะไร
Dead time หรือ เวลาตาย นี้คือ เวลาที่คุณใช้สมองในการทำงานน้อยมาก หรือแทบไม่ได้ใช้กับกิจกรรมที่คุณทำอยู่ ณ เวลาหนึ่งๆ ร่างกายและจิตใต้สำนึกและสามัญสำนึกธรรมดาต่างหากที่ควบคุมร่างกายคุณในการทำกิจกรรมนั้นๆ ส่วนจิตสำนึกรับรู้ จนถึงจิตระดับที่คุณเอามาคิดนู้นคิดนี่เนี่ยะ มันไม่ได้ใช้เป็นหมันครับ เวลาที่ผมบอกว่าเป็นเวลาตายก็ เช่น เวลาตอนที่คุณเดินทางแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า เวลาที่คุณขับรถโดยที่ไม่ได้คิดอะไรในหัว เวลาที่ดูวิวทิวทัศน์ตอนที่ไปท่องเที่ยว เวลาที่คุณออกกำลังกายโดยการวิ่ง (ถ้าหากว่าคุณเล่นเป็น strengh training ไม่ใช่เวลาตายน่ะครับเพราะว่ามันใช้สมาธิด้วยครับ) หรือ เวลาที่คุณนอนเล่นอยู่กับบ้าน เวลาต่างๆพวกนี้เป็นเวลาที่กิน ram สมองต่ำสุดๆ (ถ้าหากว่าเทียบกับ computer ซึ่งผมก็ชอบเอาการคิดการวิเคราะห์มาเทียบกับคอมเสมอๆน่ะครับ) แปลว่าคุณมีพื้นที่แรมสมองคุณเอาไปทำอย่างอื่นพร้อมๆกันได้อีกน่ะครับ เช่น เอาไปอ่านหนังสือ หรือเอาไปฟัง audio Book ก็ได้
Kindle เป็น eBook reader ที่ผูกสองเรื่องนี้เข้าไปเอาไว้ด้วยกัน เพื่อกำจัดเวลาตายในชีวิตของคุณให้มีประโยชน์ต่อตัวคุณมากขึ้น คือ ใน Kindle คุณจะฟัง audio book หรือจะอ่านหนังสือเป็น eook อ่านเองกับตาเราก็ได้ เพราะ มันมีทั้งพื้นที่เพื่อให้ใส่ audio book แล้วที่เจ๋งกว่านั้นก็คือ มันมีระบบ text to speech ก็แปลว่ามันจะอ่านหนังสือที่เป็น text file หรือว่าที่เป็น file ของ Kindle เอง อ่านให้เราฟังได้น่ะครับ
เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะเห็นตำตาเลยว่า อุปกรณ์ประเภท eBook reader แบบ e-ink ยุคใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อให้คุณใช้ชีวิตได้ productive กว่าเดิม แทนที่จะเอาเวลาตายให้มันตายไปเฉยๆ (อย่าเพิ่งคิดน่ะครับว่าคุณให้เวลาตายไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ? แล้วก็ไม่ต้องแอบคิดหรอกครับว่า ถ้าหากว่าคุณอ่านหนังสือหรือว่าฟังหนังสือ ด้วยเวลาต่างๆเหล่านั้น คุณได้ความรู้อะไรมากขึ้นมากแค่ไหน หรือว่าคุณ save เวลาที่คุณมานอนอ่านหนังสืออยู่บ้าน เอาเวลาอยู่บ้านไปเขียน blog ได้มากน้อยแค่ไหน อืม .. นะ อย่าคิด .. ><)
นอกจากนี้ยังมีคนแอบถามผมเพิ่มเติม (ที่ว่าแอบเพราะว่าเค้าเมล์มาไม่ได้ comment แต่ว่าอย่างไรก็ดีไม่แนะนำให้ทำอย่างงี้สักเท่าไหร่ แนะนำว่ามีอะไรก็ comment มาก็ได้เพราะว่ามันก็เข้า inbox Gmail ผมเหมือนกันน่ะครับ แล้วก็ตอบกลับไปผ่านทาง email มันก็แสดงที่หน้า page ที่ comment ไว้เช่นเดียวกันครับ) แต่ว่าจะดีกว่าก็คือ มันจะแสดงเนื้อหาให้คนอื่นได้อ่านกันด้วย ผมก็จะได้ไม่ต้องเอามาโม้ให้ฟังอีกทีน่ะครับ ^_^ แต่ว่าก็ยังดีที่ถามผมน่ะครับ ถามมาก็ตอบไปน่ะครับ อยู่แล้วไม่ว่ากัน
มีคนเมล์มาถามผมเกี่ยวกับ Kindle สงสัยอีกว่า Kindle เอาไปอ่านหนังสือนอกสถานที่แล้วไม่ต้อง charge ไปกันบ่อยๆ ถ่านมันอยู่ได้นานหรือยังไงกัน ?
อืมเป็นประเด็นที่ผมลืมบอกไปจากครั้งก่อนจริงๆน่ะหละครับ การที่ผมแนะนำใช้เป็น ebook reader สำหรับนักอ่านที่เป็นนักอ่านประเภทจริงจัง เพราะว่าตัวคุณเองนั้นเอาหนังสือหนังหาไปไหนมาไหนมันทุกที่ทุกเวลาโดยเฉพาะเวลาเดินทางท่องเที่ยว (แบบนี้ไม่น่าเบื่อมากนัก แต่ว่าผมก็เอาหนังสือไปอ่านเหมือนกันครับ) แล้วก็เวลาที่คุณ commute (เดินทางแบบน่าเบื่อหน่อย เช่นเดินทางไปทำงาน ที่เป็นรูทีน เป็นประจำครับ) คุณแทบไม่จำเป็นต้องเอาที่ชาร์ทไฟสำหรับ Kindle ไปหรอกครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่าไฟฟ้าที่ใช้งานเพื่อให้แสดงภาพ จะเป็นลักษณะของ e-ink นั้นก็หมายความว่า มันจะกินไฟฟ้าเฉพาะตอนที่คุณกดเปลี่ยนหน้า เมื่อมันเปลี่ยนแล้วตัวหมึก (อิเล็คโทรนิคส์ หรือหมึกปลอมแบบนี้) มันก็จะค้างไว้ที่หน้าจอโดยใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำมากๆ หรือแทบไม่ได้ใช้เลย ทำให้สินค้าประเภท ebook reader ที่เป็น e-ink technology นี้กินไฟน้อยสุดๆ คุณสมบัติก็จะโชว์กันเป็นจำนวนครั้งในการเปิด (หรือ flip หน้า) แทนการบอกว่ามันอยู่ได้กี่ชั่วโมง ( notebook พวก netbook จะชอบบอกว่า ถ่านมันอยู่ได้นานแค่ไหนครับ) แปลว่า คุณจะใช้งานมันได้เรื่อยๆถ้าหาก่วาคุณไม่ค่อยได้เปลี่ยนหน้าสักเท่าไหร่ แล้วก็การเปลี่ยนหน้าแต่ละครั้งก็จะใช้ไฟฟ้าน้อยเอามากๆอีกตะหาก
อ่านบทความครั้งก่อนที่โม้ไปเกี่ยวกับ Kindle ที่ซื้อได้จากประเทศไทย ได้จากที่นี่น่ะครับ
(อ่านเนื้อความนี้ตรงๆอาจจะไม่ Get มากนัก)
แน่นอนว่าเว็ปนี้พูดถึงการใช้เวลาให้คุ้มค่าให้มากที่สุด หรือทำอะไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุดต่อเวลา (แนว productive สุดๆ ไม่อย่างงั้นไม่มี productivity ในการใช้ชีวิตน่ะครับ) เวลาหนึ่งที่คุณจะต้องผ่านพ้นคือ Dead time หรือ เวลาตาย ที่ผมอาจจะไม่พิมพ์ออกมาว่า ผมเรียกมันว่า เวลาตาย แต่ว่ามันไม่ได้หมายถึงว่าที่คุณจะตายแต่อย่างใดน่ะครับ ผมอธิบายอีกหน่อยแล้วกันนะครับว่า เวลาตายคืออะไร
Dead time หรือ เวลาตาย นี้คือ เวลาที่คุณใช้สมองในการทำงานน้อยมาก หรือแทบไม่ได้ใช้กับกิจกรรมที่คุณทำอยู่ ณ เวลาหนึ่งๆ ร่างกายและจิตใต้สำนึกและสามัญสำนึกธรรมดาต่างหากที่ควบคุมร่างกายคุณในการทำกิจกรรมนั้นๆ ส่วนจิตสำนึกรับรู้ จนถึงจิตระดับที่คุณเอามาคิดนู้นคิดนี่เนี่ยะ มันไม่ได้ใช้เป็นหมันครับ เวลาที่ผมบอกว่าเป็นเวลาตายก็ เช่น เวลาตอนที่คุณเดินทางแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า เวลาที่คุณขับรถโดยที่ไม่ได้คิดอะไรในหัว เวลาที่ดูวิวทิวทัศน์ตอนที่ไปท่องเที่ยว เวลาที่คุณออกกำลังกายโดยการวิ่ง (ถ้าหากว่าคุณเล่นเป็น strengh training ไม่ใช่เวลาตายน่ะครับเพราะว่ามันใช้สมาธิด้วยครับ) หรือ เวลาที่คุณนอนเล่นอยู่กับบ้าน เวลาต่างๆพวกนี้เป็นเวลาที่กิน ram สมองต่ำสุดๆ (ถ้าหากว่าเทียบกับ computer ซึ่งผมก็ชอบเอาการคิดการวิเคราะห์มาเทียบกับคอมเสมอๆน่ะครับ) แปลว่าคุณมีพื้นที่แรมสมองคุณเอาไปทำอย่างอื่นพร้อมๆกันได้อีกน่ะครับ เช่น เอาไปอ่านหนังสือ หรือเอาไปฟัง audio Book ก็ได้
Kindle เป็น eBook reader ที่ผูกสองเรื่องนี้เข้าไปเอาไว้ด้วยกัน เพื่อกำจัดเวลาตายในชีวิตของคุณให้มีประโยชน์ต่อตัวคุณมากขึ้น คือ ใน Kindle คุณจะฟัง audio book หรือจะอ่านหนังสือเป็น eook อ่านเองกับตาเราก็ได้ เพราะ มันมีทั้งพื้นที่เพื่อให้ใส่ audio book แล้วที่เจ๋งกว่านั้นก็คือ มันมีระบบ text to speech ก็แปลว่ามันจะอ่านหนังสือที่เป็น text file หรือว่าที่เป็น file ของ Kindle เอง อ่านให้เราฟังได้น่ะครับ
เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะเห็นตำตาเลยว่า อุปกรณ์ประเภท eBook reader แบบ e-ink ยุคใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อให้คุณใช้ชีวิตได้ productive กว่าเดิม แทนที่จะเอาเวลาตายให้มันตายไปเฉยๆ (อย่าเพิ่งคิดน่ะครับว่าคุณให้เวลาตายไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ? แล้วก็ไม่ต้องแอบคิดหรอกครับว่า ถ้าหากว่าคุณอ่านหนังสือหรือว่าฟังหนังสือ ด้วยเวลาต่างๆเหล่านั้น คุณได้ความรู้อะไรมากขึ้นมากแค่ไหน หรือว่าคุณ save เวลาที่คุณมานอนอ่านหนังสืออยู่บ้าน เอาเวลาอยู่บ้านไปเขียน blog ได้มากน้อยแค่ไหน อืม .. นะ อย่าคิด .. ><)
นอกจากนี้ยังมีคนแอบถามผมเพิ่มเติม (ที่ว่าแอบเพราะว่าเค้าเมล์มาไม่ได้ comment แต่ว่าอย่างไรก็ดีไม่แนะนำให้ทำอย่างงี้สักเท่าไหร่ แนะนำว่ามีอะไรก็ comment มาก็ได้เพราะว่ามันก็เข้า inbox Gmail ผมเหมือนกันน่ะครับ แล้วก็ตอบกลับไปผ่านทาง email มันก็แสดงที่หน้า page ที่ comment ไว้เช่นเดียวกันครับ) แต่ว่าจะดีกว่าก็คือ มันจะแสดงเนื้อหาให้คนอื่นได้อ่านกันด้วย ผมก็จะได้ไม่ต้องเอามาโม้ให้ฟังอีกทีน่ะครับ ^_^ แต่ว่าก็ยังดีที่ถามผมน่ะครับ ถามมาก็ตอบไปน่ะครับ อยู่แล้วไม่ว่ากัน
Kindle เอาไปอ่านหนังสือนอกสถานที่แล้วไม่ต้อง charge ไปกันบ่อยๆ ถ่านมันอยู่ได้นานหรือยังไงกัน ?
อืมเป็นประเด็นที่ผมลืมบอกไปจากครั้งก่อนจริงๆน่ะหละครับ การที่ผมแนะนำใช้เป็น ebook reader สำหรับนักอ่านที่เป็นนักอ่านประเภทจริงจัง เพราะว่าตัวคุณเองนั้นเอาหนังสือหนังหาไปไหนมาไหนมันทุกที่ทุกเวลาโดยเฉพาะเวลาเดินทางท่องเที่ยว (แบบนี้ไม่น่าเบื่อมากนัก แต่ว่าผมก็เอาหนังสือไปอ่านเหมือนกันครับ) แล้วก็เวลาที่คุณ commute (เดินทางแบบน่าเบื่อหน่อย เช่นเดินทางไปทำงาน ที่เป็นรูทีน เป็นประจำครับ) คุณแทบไม่จำเป็นต้องเอาที่ชาร์ทไฟสำหรับ Kindle ไปหรอกครับ เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะว่าไฟฟ้าที่ใช้งานเพื่อให้แสดงภาพ จะเป็นลักษณะของ e-ink นั้นก็หมายความว่า มันจะกินไฟฟ้าเฉพาะตอนที่คุณกดเปลี่ยนหน้า เมื่อมันเปลี่ยนแล้วตัวหมึก (อิเล็คโทรนิคส์ หรือหมึกปลอมแบบนี้) มันก็จะค้างไว้ที่หน้าจอโดยใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำมากๆ หรือแทบไม่ได้ใช้เลย ทำให้สินค้าประเภท ebook reader ที่เป็น e-ink technology นี้กินไฟน้อยสุดๆ คุณสมบัติก็จะโชว์กันเป็นจำนวนครั้งในการเปิด (หรือ flip หน้า) แทนการบอกว่ามันอยู่ได้กี่ชั่วโมง ( notebook พวก netbook จะชอบบอกว่า ถ่านมันอยู่ได้นานแค่ไหนครับ) แปลว่า คุณจะใช้งานมันได้เรื่อยๆถ้าหาก่วาคุณไม่ค่อยได้เปลี่ยนหน้าสักเท่าไหร่ แล้วก็การเปลี่ยนหน้าแต่ละครั้งก็จะใช้ไฟฟ้าน้อยเอามากๆอีกตะหาก