rackmanagerpro.com

เลือกเครดิตการ์ดอย่างไรให้เหมาะกับ Life Style ตัวเอง

ปกติแล้วสำหรับคนที่เป็นพนักงานเงินเดือนประจำ จะมีโอกาสได้เข้าถึงบริการทางการเงินตัวหนึ่งที่เรียกว่า เครดิตการ์ด หรือ บัตรเครดิต ได้ง่ายกว่าการเป็นฟรีแลนด์ ที่ไม่ได้สังกัดบริษัทใดๆ หรือ พวกเจ้าของกิจการ เพราะ การประเมินนั้นง่ายมากกว่า และ มีหลักฐานรายได้ที่แน่นอนกว่า การประกอบอาชีพแบบอื่นๆ ทำให้คนที่เริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ( First Jobber) มันจะมองหาเครดิตการ์ดติดตัวสักใบสองใบ เพื่อเป็นทางเลือกในการชำระเงินซื้อหาสินค้าหรือบริการต่างๆได้สะดวกมากกว่าการใช้เงินสด หรือการโอนเงินก็ตาม นอกจากนี้ พวกเครดิตการ์ดก็ยังทำดิวพิเศษการร้านค้าต่างๆเอาไว้เพื่อให้คนหันมาใช้เครดิตการ์ดของตนเองให้มากขึ้นกันอีกด้วย แล้วทีนี้ ถ้าหากว่าคุณเป็นมือใหม่ และ ไม่เคยรู้มาก่อนว่า เครดิตการ์ดมันจะมีปัจจัยอะไรในการเลือก ผมอยากจะแนะนำเป็นประเด็นๆสำหรับการเลือกเครดิตการ์ดใช้งาน และ เรื่องอื่นๆที่ผมอยากจะแนะนำคนที่ใช้เครดิตการ์ดกันเสียหน่อยครับ

เครดิิตการ์ด KTC
ผมแนะนำให้คุณเลือกบัตรเครดิตที่เหมาะกับตัวคุณ โดยดูที่โปรโมชั่นเป็นหลัก ถ้าหากว่าคุณไม่คิดจะเป็นหนี้บัตรอยู่แล้ว คุณจะสามารถเน้นเลือกจากโปรโมชั่นได้เลย https://bit.ly/ktc-credit-card

เครดิตการ์ดหารายได้จากอะไร ?

ก่อนอื่นผมอยากจะให้คุณรุ้ก่อนว่า รายได้ของการเอาเครดิตการ์ดมาให้คุณใช้นั้น เค้าได้เงินจากอะไรกัน และ ทำไมเค้าถึงอยากจะเสนอให้คุณใช้เครดิตการ์ดของเค้าด้วย มันมีเหตุผลจูงใจอะไรเบื้องหลังของธุรกิจเครดิตการ์ดเหล่านี้กันแน่ !? เพื่อให้คุณไม่ตกเป็นเหยื่อของโปรโมชั่นพวกบัตรเครดิตเหล่านี้กันดีกว่า

เครดิตการ์ดนั้นได้เงินจากสองพวก คือ คนที่รับชำระเงิน และ คนที่ใช้การ์ดเพื่อชำระเงิน โดยน้ำหนักส่วนใหญ่จะได้รายได้จากคนที่รับชำระเงิน เพราะถือได้ว่าเป็นบริการทางการเงินที่ทำให้รับเงินสะดวก มีโอกาสในการรับเงินได้มากกว่า (ก่อนยุคพร้อมเพย์) เพราะไม่ต้องยุ่งยากในการชำระเงินด้วยเงินสด ทั้งสองฝ่ายก็จะได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่กับการไม่ต้องควานหาเงินสดมาเพื่อทำการ Transation ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา โดยคนรับชำระเงินจะเสียเงินให้กับบริการรับชำระด้วยบัตรเครดิตคิดเป็นต่อครั้งขั้นต่ำและบวกด้วยเปอร์เซนต์ของยอดการชำระเงิน เพราะฉะนั้นสังเกตได้ว่า พวกร้านค้าก็จะอาจจะมีการกำหนดข้ั้นต่ำของยอดการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตเอาไว้ด้วยเพื่อเป็นการลดต้นทุนจากค่าคงที่ของกาชำระเงินด้วยบัตรเครดิตต่อครั้งนั่นเอง

เงินที่ธนาคารหรือผู้ออกบัตรเครดิตได้เงินอีกส่วนก็คือ เงินที่ได้รับจากผู้ใช้บัตร เช่น ถ้าหากว่าผู้ใช้บัตรใช้เงินแล้วไม่ชำระ ก็จะเกิดความเป็นหนี้และยังผลให้เกิดดอกเบี้ยตามมาในที่สุด และ สะสมต่อเนื่องทำให้ผู้ออกบัตรสามารถได้เงินเป็นกอบเป็นกำจากส่วนนี้ และ เงินที่ได้จากข้อมูลส่วนตัว เพื่อใช้สำหรับการตลาดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการตลาดเพื่อสินค้าและบริการอื่นๆของธนาคารผู้ออกบัตรเอง หรือ จะเป็นการขายชุดข้อมูลให้กับคนที่สนใจเอาไปใช้หาประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆที่กฏหมายไม่ได้กำหนดว่าห้ามกระทำได้

คราวนี้ผมว่าคุณรู้แล้วแหละว่า เครดิตการ์ดเค้าหากินยังไง ดังนั้นแล้วส่วนนี้ เราจะเอามาประกอบการพิจารณาเลือกบัตรเครดิตกันดีกว่า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องโดนเก็บเงินมากจากมุมมองของผู้ใช้บัตรเครดิตก็แล้วกัน

บัตรเครดิตจะมีทั้งแบบมีค่าธรรมเนียมรายปีและแบบไม่มี

ถ้าหากว่าคุณรู้แบบนี้แล้ว เราก็น่าจะเลือกประเภทที่ไม่มีค่าทำธรรมเนียมเอาไว้ก่อนเพื่อเป็นการลดต้นทุนของตัวเองเอาไว้ เว้นแต่ว่าคุณมองแล้ว โปรโมชั่นอื่นๆที่เป็นสิทธิ์ประโยชน์ในการใช้บัตรเครดิตเหล่านั้นมันคุ้มค่ามากกว่า ที่เราจะเสียเงินจากค่าธรรมเนียมรายปี อย่างไรก็ดี สำหรับเครดิตการ์ดที่ไม่มีค่าธรรมเนียมนั้น มักจะมีประโยคหนึ่งที่เป็นเงื่อนไขของการใช้บัตรนั่นก็คือ ถ้าหากว่าเค้าออกบัตรให้แล้ว เค้าก็อยากจะได้เงิน (ถ้าหากว่าไม่ได้เอาจากผู้ถือบัตรก็ต้องเอาจากร้านค้า) เพราะฉะนั้นแล้ว เขาก็จะกำหนดให้คุณต้องใช้บัตรต่อเดือนหรือต่อปีเท่าไหร่ ถึงจะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจากผู้ถือบัตร ไม่อย่างงั้นถ้าหากว่าใช้น้อยกว่าที่กำหนดไว้ เค้าก็จะเรียกเก็บเงินคุณรายปีเพราะถือว่า เค้าเสียเงินค่าการตลาดไปแล้วกว่าที่คุณจะมาสมัครบัตรกับเขาแล้วไม่ได้ใช้เลย ก็ไม่คุ้มเขาว่าอย่างงั้น

โปรโมชั่นที่ผูกกับบัตรมันแรงแค่ไหน

สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นค่าการตลาดที่ทางธนาคารผู้ออกบัตรได้สร้างภาพเอาไว้ เพื่อให้คุณเห็นว่า ถ้าหากว่าคุณมีบัตรอันนี้ๆ ก็จะสามารถจ่ายเงินได้ 0% 10 เดือน หรือ ได้ส่วนลดแบบทีี่เงินสดทำไม่ได้มาก่อนซึ่งแน่นอนว่า เงินส่วนลดเหล่านั้น ถือได้ว่าเป็นงบของการทำตลาดสำหรับบัตรเครดิตนั้นๆเท่านั้นเอง เพื่อที่เขาหวังจะโกยเงินส่วนต่างจากร้านค้าอื่นๆเข้าไปอีกจากการที่มีคนใช้บัตรของเขากับร้านค้าอื่นๆที่ไม่ได้ทำโปรโมชั่นเอาไว้ ที่เดือดไปกว่านั้นคือ เขาติดสินบนกับผู้ถือบัตรอีกต่างหากด้วยโปรแกรม Cashback หรือ Reward Point ที่ถ้าหากว่า คุณในฐานะคนที่ถือบัตรเลือกบัตรเขาเอาไปรูดใช้กับร้านค้าร้านอาหารหรือผู้ให้บริการ แน่นอนว่าคนรับชำระเงินเสียเงิน แต่เครดิตการ์ดก็จะแบ่งเงินเศษส่วนหนึ่งให้กับคุณด้วยในรูปแบบของคะแนนต่างๆที่จริงๆแล้วคุณก็สามารถใช้คะแนนเหล่านั้นในการซื้อสินค้าในแอพของธนาคารหรือ ใช้เพื่อแลกกับสิทธิ์ตัวเงินอื่นๆต่อๆไปกับร้านค้าอื่นๆได้ ซึ่งแน่นอนว่าร้านค้าเหล่านั้น ก็จะโดนเรียกเก็บเงินค่าบริการอีก โดยที่ผู้ใช้เครดิตการ์ดไม่ได้สำเหนียกรู้ได้เลยว่า เขาใช้โปรโมชั่นเพื่อทำให้คุณเป็นสื่อ และ เป็นตัวเงินตัวทองในการดูดเงินค่าบริการกับร้านค้าอีกต่อหนึ่งนั่นเอง โปรโมชั่นเหล่านี้ จะเป็นสื่อกลางระหว่างคุณและร้านค้า ในการเรียกเก็บเงินจากร้านค้าได้เป็นอย่างดี แต่ แน่นอนว่า ในฐานะคนที่เลือกใช้บัตรเครดิต คุณก็แค่มองว่า บัตรไหนโปรแรง ก็จัดอันนั้นไปก็เท่านั้นเอง

อัตราดอกเบี่ยเงินกู้บัตรเครดิตและรูปแบบการประนอมหนี้

สำหรับคนที่ไม่มีวินัยในการใช้จ่ายเงินสักเท่าไหร่นัก คุณสามารถติดหนี้บัตรเครดิตได้ และ มีโอกาสมากเสียด้วย หากคุณเป็นคนที่มือเติบ แนะนำให้คุณที่เข้าข่ายพฤติกรรมการเงินแบบนี้ ให้พิจารณาอัตราดอกเบี้ยของการติดหนี้กับเครดิตการ์ดเสียหน่อย และ ให้ดูประวัติว่า การประนอมหนี้จะเกิดขึ้นด้วยลักษณะไหนได้บ้าง โดยการค้นหากิจกรรมการประนอมหนี้กับธนาคารผู้ออกบัตรจากประสบการณ์ที่คนอื่นได้เคยรับมาว่า มีความรุนแรง ยากง่ายแค่ไหน หรือ มีภาวะการณ์บังคับทางกฏหมายอย่างไร เพราะ เมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแล้ว คุณก็ต้องเข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้เหมือนกันกับผู้อื่นๆที่ติดหนี้บัตรเครดิตเช่นเดียวกัน ขอย้ำอีกสักหน่อยว่า รายได้อีกส่วนก็คือ เค้าจะได้จากดอกเบี้ยการเป็นหนี้จากคุณ เพราะงั้นแล้ว คุณมีสิทธิ์เลือกได้เหมือนว่า ถ้าหากว่าหนี้ดอกแรง แนะนำให้เลือกรายที่ต่ำกว่าได้ หากคุณคิดว่าคุณเป็นคนมือเติบใช้เงินไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไหร่ก็ไม่สามารถป้องกันอาการใช้เงินแบบมือเติบเหล่านี้ได้

ความสะดวกในการชำระเงินกับเครดิตการ์ดที่คุณกำลังเลือกใช้อยู่

ถ้าหากว่า คุณต้องการป้องกันการสภาวการณ์การเป็นหนี้ต่อบัตรเครดิต แนะนำว่า ให้คุณเลือกจากการที่คุณมีบัญชีธนาคารนั้นๆเอาไว้ หรือ คุณสามารถเปิดบัญชีธนาคารที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิตได้ จะเป็นการดีทีสุด เพราะ คุณสามารถทำการสั่งให้ธนาคารผู้ออกบัตรสั่งตัดเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของธนาคารเดียวกันนั้นได้เลย โดยสิ่งที่คุณต้องทำก็แค่โอนเงินเข้าไปยังบัญชีดังกล่าวทิ้งเอาไว้ให้เพียงพอต่อยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตต่อเดือนก็เท่านั้นเอง แบบนี้ จะเป็นการลดโอกาสที่จะโดนว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตและไม่ทำการชำระหรือค้างชำระได้ จากประสบการณ์ส่วนตัว แต่ก่อนการโอนเงินข้ามธนาคารไม่ได้สะดวกเหมือนกับตอนนี้ ผมได้เปิดเครดิตการ์ดกับธนาคารที่ไม่ได้มีสาขาใกล้บ้านนักทำให้ไม่ได้เปิดบัญชีออมทรัพย์เอาไว้ มีการใช้จ่ายเงินผ่านการ์ดนั้นไม่มากนัก และ ไม่ได้ใส่ใจในการชำระเงินในบัตร ยังผลให้เกิดว่า ชื่อของผมไปขึ้นกับเครดิตบูโรเป็นประวัติที่ดี แม้ว่าการเป็นหนี้นั้นจะเป็นยอดหลักสิบบาทเท่านั้น ปรากฏว่า จำเป็นอยากจะไปเงินกู้สินเชื่อบ้าน ก็ไม่สามารถกระทำได้เพราะดันมีชื่อเป็นหนี้บัตรเครดิตค้างชำระเงินระยะยาว นี่เป็นผลที่คุณอาจจะยังไม่ทราบว่า มันอาจจะมีผลใหญ่หลวงได้ในภายหลังในเรื่องของเครดิตทางการเงินของคุณที่จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของคุณก็ได้

เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้วหลักการเลือกเครดิตการ์ดสักใบเพื่อมาติดกระเป๋านั้นไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากนัก เน้นว่าโปรดี สะดวกชำระเงิน ดอกไม่โหดหากคุณเป็นคนมือเติบจัดการการเงินได้ไม่ดีนัก ก็ให้เอาเรื่องพวกดอกเบี้ยเข้ามาพิจารณา ลักษณะการประนอมหนี้และการติดตามหนี้จากธนาคารว่ารับมืออย่างไร และ ที่สำคัญที่สุด ผมไม่อยากให้ใครเป็นหนี้ค้างชำระเงินจากเงินที่ใช้เครดิตการ์ดสักเท่าไหร่ เพราะ มันมีผลกับตัวคุณระยะยาวแบบไม่จำเป็นลองเอาข้อคิดพวกนี้ไปคิดดูในการเลือกบัตรเครดิตของคุณกันเองก็แล้วกัน

บัตรเครดิต KTC จะมีให้คุณเลือกเหมาะกับความต้องการหรือ Life Style ของคุณได้ค่อนข้างครอบคลุม ผมแนะนำว่า ให้คุณกรอกข้อมูลจากฟอร์มของเว็ปของธนาคารนี้โดยตรง เพื่อให้พนักงานที่ดูแลการออกบัตรเครดิตเลือกประเภทบัตรให้กับคุณให้เหมาะสมกับความต้องการได้ต่อไป ลิงค์ฟอร์มกรอกประสงค์สอบถามเกี่ยวกับบัตรเครดิตของ KTC ได้จากที่นี่ https://bit.ly/ktc-credit-card

Exit mobile version