rackmanagerpro.com

วิธีร่ำรวยในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ จากมุมมองของ Grant Cardone เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์พันล้าน

ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ หลายคนอาจกำลังเผชิญกับความยากลำบากทางการเงิน รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย หรือแม้กระทั่งตกงาน เสียงจาก Grant Cardone นักธุรกิจ นักลงทุน นักเขียน นักพูด นักขาย เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ และเจ้าพ่อโซเชียลมีเดีย เจ้าของทรัพย์สินกว่า 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 94,000 ล้านบาท) อาจช่วยจุดประกายความคิด และให้มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการเงิน และการสร้างความมั่งคั่งได้

บทความนี้สรุปมาจากบทสัมภาษณ์ของ Grant Cardone ในช่อง YouTube ชื่อ Slightly Offensive ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 459,000 คน

1. เลิกสบาย แล้วลุกขึ้นสู้

Grant Cardone เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัวในวัยเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน ขัดสน เลี้ยงดูโดยคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เมื่อ Grant อายุได้เพียง 10 ขวบ คุณพ่อของเขาซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวก็เสียชีวิต รายได้ของครอบครัวจึงหายไปในทันที สถานการณ์บีบคั้นให้เขา และครอบครัวต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว

จากเหตุการณ์นี้ เขาต้องการบอกกับทุกคนที่กำลังประสบปัญหาทางการเงินว่า:

2. ท้าทายความเชื่อเรื่องการออม

Grant Cardone ท้าทายความเชื่อเรื่องการออมที่ถูกปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็ก เขาชี้ให้เห็นว่า คนที่ได้ประโยชน์จากเงินฝากในธนาคารจริงๆ คือ ตัวธนาคารเอง ธนาคารจะพยายามทำทุกอย่างให้คนฝากเงินให้มากที่สุด แต่ไม่ได้เก็บเงินไว้เฉยๆ ในตู้นิรภัย พวกเขานำเงินไปปล่อยกู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่ให้ดอกเบี้ยเงินฝากเพียงน้อยนิด

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่ การเก็บออม (รวมถึงการเก็บออมเพื่อการเกษียณ) เพราะการออมไม่ได้ทำให้ใครร่ำรวยขึ้นมาได้

3. Reinvest – นำเงินมาลงทุนต่อยอด

สิ่งที่ควรทำ คือ การ Reinvest หรือการนำเงินที่ได้กลับมาลงทุนในตัวเองเพิ่มมากขึ้น ลงทุนในธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ผลผลิตมากยิ่งขึ้น มีรายได้เพิ่มมากขึ้น

เขาแนะนำให้หาแหล่งรายได้ที่สอง ที่สาม แต่ไม่แนะนำ ให้ไปลงทุนในตลาดหุ้น หรือกองทุน โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดคริปโตที่มีความผันผวนสูง คุณอาจจะสูญเงินทั้งหมดที่หามาได้ภายในชั่วข้ามคืน

ดังนั้น จงลงทุนในสิ่งที่คุณคิดว่าจะไม่สูญเงินก้อนที่อุตส่าห์หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง หามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หามาด้วยความยากลำบากหายไป

4. สร้างกระแสเงินสด

Grant แนะนำให้ลงทุนไปกับสิ่งที่สามารถผลิตกระแสเงินสด (Cash Flow) ออกมาได้อย่างต่อเนื่อง เพราะการเก็บเงินสด (Cash) หรือเงินสดเอาไว้เฉยๆ นั้นไม่มีค่าอะไรเลย เพราะเงินสดคือขยะที่มันไม่มีค่าในตัวมันเอง

ฉะนั้น จงใช้เงินทำงานให้คุณอย่างหนัก จงเอาไปใส่ไว้ในสิ่งที่สามารถผลิตเงินให้คุณได้อย่างต่อเนื่อง เพราะการเก็บเงินสดเอาไว้ที่ธนาคาร หรือที่บ้านในตู้นิรภัยเอาไว้เฉยๆ นั้น ในทุกๆ ปีตัวของมันจะมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงอยู่ตลอดเวลา หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Inflation หรือค่าเงินเฟ้อ ถึงแม้จำนวนเงินสดของเราจะมีตัวเลขเท่าเดิม แต่ในปีถัดไป ตัวของมันกลับซื้อของได้น้อยลง

5. อย่าผูกติดกับหนี้สิน

หลังจากที่โลกเผชิญกับโรคระบาดอย่าง COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกต้องชะงัก ปิดตัวลงมา มากกว่า 2-3 ปีอย่างต่อเนื่อง และก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกว่า มันจะมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจผู้นำของโลก รายใหม่ ที่อาจจะมาแทนสหรัฐอเมริกาหรือไม่

ดังนั้น ให้เราทำในสิ่งที่ ที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้ อะไร ที่ทำแล้วทำให้มีรายได้เพิ่มเข้ามามากขึ้น ก็ทำเลย อย่ามัวแต่ติดสบาย เริ่มหางานที่สอง งานที่สาม เพื่อสร้างรายได้ให้เข้ามาให้ได้มากที่สุด ณ เวลานี้

6. กองทุนเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้คุณร่ำรวย

ส่วนพวกการลงทุนในกองทุนรวม ETF, IRS, 401k, IRA การกระจายการลงทุนนู่นนี่นั่นเอ่ย ทาง Grant Cardone ก็บอกว่า กองทุนเหล่านี้ มันถูกเอาแบบมาให้เป็นกับดักแก่คนชนชั้นกลาง เพื่อชักจูงให้เอาเงินเอาไว้ในกองทุนต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์จริงๆ ก็คือ ผู้คนที่อยู่ใน Wall Street ที่เมื่อมีเงินในกองทุนเหล่านี้มากขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งร่ำรวยมากยิ่งขึ้น ในขณะที่คนชนชั้นกลางก็จะอยู่ในชนชั้นกลางต่อไป

เพราะผลผลิตจากตลาดเหล่านี้ก็คือ Money หรือตัวเงิน ซึ่งก็คือผลิตภัณฑ์หลักของสหรัฐอเมริกา ที่สินค้าของประเทศนี้ก็คือเงิน US ดอลลาร์ ซึ่งการผลิตเงินดอลลาร์ออกมานั้น ทางรัฐบาล ไม่ต้องการรายได้จากภาษี แต่ พวกเขาต้องการให้คนทำงานให้ เพื่อแลกกับเงินดอลลาร์สหรัฐ พวกเขาปริ้นท์ออกมา เพราะระบบที่รัฐบาลพยายามจะควบคุมให้ประชาชนทำงานอย่างหนักให้กับประเทศก็คือ มันมีแพทเทิร์นตายตัวอย่างเช่น

หลังจากเรียนจบ ก็จะต้องเริ่มต้นหางานทำ แล้วก็จะส่งเสริมให้คนซื้อบ้านเพื่อผ่อนกันยาวๆ 30 ปี เพื่อที่จะได้ตั้งใจทำงานไปตลอดหลายสิบปี หรือบางทีก็อาจจะมีบ้านหลายหลัง ซื้อมา ขายไป ขายบ้านเก่า ซื้อบ้านใหม่ ที่ใหญ่ขึ้น เป็นหนี้ก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินผ่อนค่าบ้านกันไปนานๆ

7. บ้านหลังเดียว ก็เพียงพอ

Grant Cardone บอกว่า ถ้าหากเราลองไปดูมหาเศรษฐีระดับโลกอย่าง Warren Buffett หรืออย่าง Elon Musk นั้น พวกเขาจะมีบ้านแค่หลังแรกหลังเดียว

อย่างปู่ Warren Buffett ก็มีบ้านหลังแรกหลังเดียวที่ ซื้อเอาไว้ตั้งนานแล้ว แล้วเขาก็ใช้อาศัยจนถึงปัจจุบัน หรืออย่าง Elon Musk นั้น กลับไม่มีบ้านเป็นของตัวเองด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ของโลกด้วยซ้ำ

เพราะโดยปกตินั้น คนทั่วๆ ไป ถูกปลูกฝังว่า ในชีวิตของคนเรานั้น ความฝันอย่างหนึ่งก็คือ จะต้องมีบ้านหลังใหญ่เป็นของตนเองให้ได้ แม้ว่าจะต้องผ่อนด้วยเงินจำนวนมากอย่างต่อเนื่องหลายสิบปีก็ยอม

8. ชีวิตในฝัน คือ ชีวิตที่มีอิสระ

แต่ในขณะที่ Grant Cardone เขามองว่า ชีวิตในฝันที่แท้จริงนั้น ไม่ควรถูกผูกติดกับหนี้สินอย่างการผ่อนชำระบ้านในระยะยาว เพราะชีวิตในฝันที่แท้จริงนั้น คือชีวิตที่มีอิสระ ไม่มีข้อผูกมัด โดยเฉพาะข้อผูกมัดที่เป็นหนี้ทางการเงิน

โดยคำแนะนำสำหรับคนวัยทำงานในช่วงอายุ 20 ปี 30 ปีนั้น ทาง Grant Cardone ก็แนะนำว่า ในช่วงตั้งตัวนี้ ยังไม่ควรเป็นหนี้ก้อนใหญ่ อย่างการกู้ซื้อบ้าน

โดยเขาได้เล่าว่า ในปัจจุบัน เขามีอพาร์ทเมนท์ในครอบครองราวๆ 12,000 ห้อง ซึ่งตลอดเส้นทางที่เขาทำงานหาเงิน และสั่งสมความมั่งคั่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้น เขาไม่มีบ้านเป็นของตนเองเลย จนกระทั่งเขานำเงินไปลงทุนในอพาร์ทเม้นท์ จนมากพอที่จะมีรายได้มาจ่ายค่าเช่าบ้านของตนเองได้นั้น นั่นแหละ ถึงจะค่อยคิดซื้อบ้านเป็นของตนเอง

9. ใช้กำไรจากอพาร์ทเมนท์ จ่ายค่าเช่าบ้าน

ยกตัวอย่างเช่น หากอพาร์ทเม้นท์ได้กำไรจากค่าเช่าหลังแรก หลังจากหักลบกลบหนี้กับที่จะต้องผ่อนจากธนาคารแล้ว สมมุติว่าได้กำไรที่ละ 5,000 บาทต่อเดือน ดังนั้น ถ้าคิดจะกู้ซื้อบ้าน แล้วค่าผ่อนบ้านอยู่ที่ราวๆ 15,000 บาทต่อเดือน

สิ่งที่จะต้องทำก็คือ เขาก็จะลงทุนกับอพาร์ทเม้นท์ที่ได้ผลตอบแทนเท่าๆ กับหลังแรก อย่างน้อย 3 ห้องขึ้นไป เพื่อที่จะนำกำไรจากอพาร์ทเม้นท์ นำไปจ่ายค่าเช่าบ้านของเราเองได้แบบที่เราไม่ต้องควักเงินออกจากกระเป๋าของเราเลย

แต่ถ้าหากคุณตัดสินใจไปกู้ซื้อบ้านก่อน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คุณก็จะต้องหาเงินจำนวน 15,000 บาท ที่จะต้องควักเงินออกจากกระเป๋าของ
คุณ ในทุกๆ เดือน ซึ่งนั่น มันแตกต่างกับอย่างแรกโดยสิ้นเชิง

10. ให้เงินงอกเงย ก่อนนำมาใช้จ่าย

ซึ่งสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อก็คือ เขาจะนำเงินที่ได้มาทุกบาททุกสตางค์ นำไปลงทุนให้มันงอกเงยก่อน แล้วค่อยนำเงินที่งอกเงยหลังจากนั้น นำมาใช้จ่ายอีกทีนึง

ยกตัวอย่างเช่น เงินค่าตัวที่เขาได้จากการทำงานในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขเท่าไหร่ก็ตาม สมมุติว่าวันนี้เขาได้ค่าจ้าง 500 บาท หรือ 50,000 บาท หรือ 5 ล้านบาทก็ตามที เขาจะนำเงินก้อนดังกล่าว ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก่อนเลย ซึ่งสิ่งแรกที่เขาจะได้ประโยชน์ในทันทีเลยก็คือ เมื่อเขาไม่ได้นำเงินดังกล่าวไปใช้จ่าย แต่ไปใช้เพื่อการลงทุน เขาก็จะได้รับการลดหย่อนภาษีในทันที

แล้วหลังจากที่อสังหาริมทรัพย์ที่เขาได้ลงทุนไปนั้น มันเริ่มสร้างกระแสเงินสดกลับคืนมา เงินก้อนนั้นแหละ เขาถึงจะนำมาใช้จ่ายจริงๆ

โดยเขาได้ยึดหลักนี้มาตั้งแต่อายุ 27 ปี จนตอนนี้เขาอายุ 64 ปีแล้ว ก็ยังยึดประโยคที่เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า “จงอย่าใช้จ่ายเงินที่หามาได้อย่างเด็ดขาด ยกเว้นเอาไว้เพียงอย่างเดียวก็คือ จ่ายเงินนั้นเพื่อการลงทุนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เป็นสิ่งที่ยอมรับได้”

11. โอกาสทองของการลงทุนอสังหาฯ

ซึ่งเขาก็บอกว่า ในสภาวะเศรษฐกิจ ณ ขณะนี้ เขาก็คาดการณ์เอาไว้ว่า ในช่วงราว 12-18 เดือนนับจากนี้ เราอาจจะเห็นโอกาสในการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ดีที่สุดในช่วง 50-100 ปี ที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้

โดยเขาบอกว่าสาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เป็นเพราะ ตอนนี้อัตราเรทดอกเบี้ยเงินกู้ ได้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยมีเรทอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ราวๆ 2.5% มันก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นราวๆ 6.5% นั่นหมายความว่า ค่าผ่อนบ้าน อาจจะสูงกว่าเดิมถึงร้อยละ 40

ยกตัวอย่างเช่น หาก ณ ตอนนี้ ผ่อนค่าบ้านอยู่ที่ 2,000 ดอลลาร์ แต่ในวันรุ่งขึ้น อาจจะกลายเป็น 2,800 ดอลลาร์ ซึ่งมันจะส่งผลให้คนนับล้านคนจ่ายค่าเช่าบ้านไม่ไหว และกลายมาเป็นผู้เช่าแทน นี่แหละ โอกาสมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ผู้คนเลือกที่จะเช่าอยู่อาศัยมากกว่าที่จะซื้อบ้านเอง

12. อพาร์ทเม้นท์ สร้างผลตอบแทนดีกว่า

ซึ่งเขาบอกว่า ในสมัยนี้ การเป็นเจ้าของอพาร์ทเม้นท์ ง่ายซะยิ่งกว่าเป็นเจ้าของบ้านซะอีก เพราะทางธนาคารมองว่า อพาร์ทเม้นท์นั้น สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า มีกระแสเงินสดที่ดีกว่า ซึ่งทำให้การปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่น หากเรากู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง ซึ่งบ้านหลังนี้ ที่นอกจากเงินของเราเองที่นำไปผ่อนค่าเช่าบ้านแล้วนั้น มันไม่มีรายได้จากแหล่งอื่นๆ เลย แถมเจ้าของบ้านก็ยังต้องโดนภาษีต่างๆ นานา และรายจ่ายต่างๆ ก็ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมหลังคา ค่าตัดหญ้า ค่าน้ำ ค่าไฟ

แต่ในขณะที่การกู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่านั้น ถ้ามันมีมากกว่า 1 ห้อง ก็จะทำให้อสังหาฯ ชิ้นดังกล่าว มีรายได้จากหลายผู้เช่า แถมค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในอสังหาฯ ชิ้นนี้ ยังนำไปลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

13. โรงเรียนไม่เคยสอนเรื่องเงิน

และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่เหล่าบรรดาคนที่มั่งคั่งร่ำรวยเขาทำกัน แต่ความรู้เหล่านี้ กลับไม่มีสอนในโรงเรียน และสถาบันการศึกษา ทั้งๆ ที่มีเวลาตั้งหลายปีในการสอน จึงทำให้คนจน และคนชนชั้นกลางที่ไม่มีความรู้ในเรื่องของการเงินเหล่านี้เสียเปรียบ เพราะเราถูกพร่ำสอนมาว่า จงอย่าเป็นหนี้

14. หนี้ ไม่ได้แย่เสมอไป

แต่ในขณะที่ Grant Cardone เขามองว่า การเป็นหนี้นั้นก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะหนี้นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ ก็คือ หนี้ดี กับ หนี้เลว

ซึ่งหนี้เลวก็คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ยกตัวอย่างเช่น เอาเงินที่ได้จากหนี้สินไปซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภคแล้วก็หมดไป ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ Gucci Belt หรือบรรดาของที่ใช้พวก
รูดบัตรเครดิตต่างๆ

แต่ในขณะที่หนี้ดีนั้น คือการนำเงินไปลงทุนต่อยอดให้มันงอกเงยเพิ่มขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตัวเอง การลงทุนในธุรกิจ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่สิ่งเหล่านี้จะเพิ่มรายได้เข้ามาให้กับครอบครัวของเขามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าตัวของเขาจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม

15. ลงทุนในสิ่งที่มั่นใจ

ส่วนการลงทุนในคริปโตนั้น ทาง Grant Cardone เขามองว่า มันเหมือนกับการพนันซะมากกว่า เขาเลยไม่ได้ลงทุนกับมัน แม้ว่าเขาจะเล่นแบล็คแจ็คอยู่บ้านก็ตาม แต่ก็เล่นขำๆ ตาละไม่กี่ร้อยบาท

แต่สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อจริงๆ ก็คือ เขาต้องการลงทุนในสิ่งที่ตนเองนั้นคิดว่าจะไม่สูญเงินที่ลงทุนไป เขาไม่อยากมีภาพจำในหัวว่าการสูญเสียเงินมันเป็นอย่างไร เพราะเขาต้องการภาพจำว่า การลงทุนแล้วได้เงินชัวร์ๆ นั้นมันเป็นยังไงมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่น เขายังจำได้ดีว่า เมื่อวันแรกที่เขาเริ่มต้นลงทุนในอสังหาฯ ชิ้นแรก เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 28 ปีนั้น มันมีราคาอยู่ที่ 78,000 ดอลลาร์ และเขาก็วางเงินดาวน์เป็นจำนวน 3,000 ดอลลาร์ และอสังหาริมทรัพย์ชิ้นดังกล่าว ในแต่ละปี เขาก็จะทำเงินได้ราวๆ 2,400 ดอลลาร์ นั่นแสดงว่า ภายใน 1 ปีนิดๆ เขาก็ได้เงินทุนคืนแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเล็งเห็นว่า ถ้าใช้สูตรนี้ สักวันเขาจะต้องร่ำรวยอย่างแน่นอน เขาจึงทำการหาเงินลงทุนในลักษณะดังกล่าว สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อมีแห่งที่ 1 ก็ต้องมีแห่งที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ตามมาเรื่อยๆ

16. Bitcoin ไม่ใช่คำตอบ

ซึ่งเขามองว่า ในตลาดคริปโต เขาไม่สามารถวางเงินเอาไว้จำนวน 3,000 ดอลลาร์ แล้วมันจะผลิตเงินออกมาให้เขาได้ แบบในตลาด Real Estate

ดังนั้นเขาไม่เชื่อในการลงทุนใน Dogecoin, Ethereum หรืออย่าง Luna ที่ล้ม
สลายไป แต่สำหรับ Bitcoin นั้น เขาก็มีไว้ในครอบครองจำนวนหนึ่ง ซึ่งมันก็ไม่มากสักเท่าไหร่นัก ถ้าเทียบกับระดับบิ๊กๆ แต่มันก็มากกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วๆ ไป

โดยครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับ Bitcoin นั้น เขาได้รับมันเป็นค่าจ้าง โดย ณ เวลานั้น ถ้าเทียบเป็นเงินดอลลาร์ เขาได้รับอยู่ที่ราวๆ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยที่ ณ ตอนนั้น ราคาของ Bitcoin อยู่ที่เหรียญละ 500 ดอลลาร์เท่านั้นเอง ซึ่ง ณ เวลาที่ให้สัมภาษณ์อยู่นั้น ราคาของ Bitcoin ก็อยู่ที่เฉลี่ยราวๆ 20,000 ดอลลาร์ต่อ 1 เหรียญ BTC หรือมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตีง่ายๆ จากค่าจ้างในวันนั้น 1 ล้าน 8 แสนบาท ตอนนี้มันกลายเป็น 72 ล้านบาท แล้วนั่นเอง

ส่วนราคาในอนาคตจะเป็นอย่างไร มันจะขึ้นถึงเหรียญละ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือไม่ ก็ช่างมัน แต่กฎข้อแรกที่เขายึดเอาไว้ก็คือ การลงทุนดังกล่าว เขาจะต้องไม่เสียเงินต้นอย่างเด็ดขาด

ซึ่งการลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงนั้น เขาจะทำมันก็ต่อเมื่อ มีรายได้จากหลากหลายช่องทางซะก่อน จะต้องมีรายได้ทางที่ 1 2 3 ให้มากพอ ที่จะทำให้ตัวของเขานั้นมีอิสระทางด้านเวลา ที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องของเงินขาดมือซะก่อน

17. หัวต้องโล่ง ถึงจะตัดสินใจได้ดี

เพราะถ้ายังมีเรื่องกังวลว่าเงินจะพอใช้อยู่หรือไม่นั้น หัวมันจะไม่โล่ง และเวลาที่จะตัดสินใจอะไรมันก็จะผิดพลาดได้ง่าย เพราะมีความกดดัน มีความเครียด มีความกังวลเยอะอยู่

ยกตัวอย่างจากตัวของเขา แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่เกิดโรคระบาดอย่าง COVID-19 แม้ว่าบริษัทห้างร้านต่างๆ จะต้องถูก Lockdown แต่เขานั้นก็ยังได้รับค่าเช่าจากอพาร์ทเมนท์ ที่มีอยู่ในครอบครองจำนวนกว่า 12,000 ห้อง โดยเฉลี่ยแล้ว เขาจะได้รับค่าเช่าห้องประมาณห้องละ 1,900 ดอลลาร์ต่อเดือน

และค่าเช่าในตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บวกเข้าไปจากเดิมอีกราวๆ 1,200 ดอลลาร์ต่อเดือน ดังนั้น นี่คือสาเหตุที่เขาชอบลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

18. อย่าออมเงิน แต่จงลงทุน

โดยจากสถิติที่เขาได้รวบรวมมานั้น ทาง Grant Cardone ก็บอกว่า อย่างแรก ในประวัติศาสตร์การลงทุน ไม่มีใครร่ำรวยจากการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยเอง อย่างต่อมาก็คือ ไม่มีใครร่ำรวยด้วยการออมเงิน เพราะคนที่ร่ำรวยนั้น พวกเขาร่ำรวยจากการลงทุน

ซึ่งก่อนการลงทุนในทรัพย์สินใดก็ตาม เขาแนะนำให้เริ่มต้นจากการลงทุนในตนเองซะก่อน เริ่มต้นจากการไปศึกษาหาความรู้ ไปลงเรียน ไปสัมมนา ไปซื้อหนังสือ ไปอบรม ไปฝึกฝน โดยให้เก่งในด้านใดด้านนึงสักอย่างก่อน ยังไม่ต้องรีบเป็นนักลงทุนตั้งแต่แรกก็ได้

19. จากติดลบ สู่เจ้าพ่ออสังหาฯ

โดยเขาได้ยกตัวอย่างจากตนเองในอดีต ที่เมื่อตอนที่เขาอายุได้ 25 ปี เขาเพิ่งออกจากสถานบำบัดยาเสพติด และเป็นหนี้สินติดตัวกว่า 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 ล้าน 4 แสนบาท

ซึ่ง ณ เวลานั้น เขาไม่มีความน่าเชื่อถือเหลือเลยแม้แต่น้อย ไม่มีใครเชื่อในตัวเขา แม้กระทั่งตัวของเขาเองก็ยังไม่เชื่อในตัวเองด้วยซ้ำ ซึ่ง ณ เวลานั้น มันไม่ใช่เวลาที่มีตัวเลือกมากนัก ดังนั้น งานอะไรก็ตามที่เขาสามารถทำได้เลย ณ ตอนนั้น เขาก็เริ่มต้นทำมันเลย ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ใช่งานในฝัน มันไม่ใช่งานที่เขามีความหลงใหล มันไม่ใช่งานที่เขารัก แต่เขาก็ใช้โอกาสที่ได้ทำงานดังกล่าว แล้วก็เริ่มต้นพัฒนาการทำงานดังกล่าวให้เก่งยิ่งขึ้น

จากนั้นเมื่อทำงานชิ้นดังกล่าวได้ดีแล้ว เขาก็เริ่มต้นหางานที่สอง งานที่สาม หลังจากเสร็จงานแรกแล้ว เขาก็หารายได้เพิ่มเติม จนเขามีเงินเก็บราวๆ 3,000 – 4,000 ดอลลาร์ หรือประมาณแสนกว่าบาท เขาก็เริ่มมีแนวคิดที่ว่า จะใช้เงินที่เก็บมานี้ไปทำอะไรได้บ้าง เพื่อที่จะให้เงินก้อนดังกล่าว เริ่มต้นทำงานหาเงินให้เขาได้บ้าง

20. ใช้แรงงาน เป็นทุน

ซึ่งธุรกิจแรกๆ ที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จนั้น เขาก็เริ่มต้นมันทั้งๆ ที่ไม่มีเงินทุน ไม่มีการกู้หนี้ยืมสิน ใช้แต่แรงงานทำงานหนักเพียงอย่างเดียวเพียวๆ จนกระทั่งบริษัทมีกำไรก้อนโตก้อนหนึ่ง

จากนั้นเขาก็เริ่มนำเงินก้อนดังกล่าว ที่ได้จากการสะสมกำไรของบริษัทแรก นำไปต่อยอด โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องเป็นการลงทุนที่เขามั่นใจว่าจะต้องไม่เสียเงินต้น แน่นอนว่า การลงทุนของเขา ไม่ใช่ ในตลาดหุ้น ไม่ใช่ในตลาดคริปโต ไม่ใช่ในพันธบัตร ไม่ใช่พวกกองทุน ที่เป็นการซื้อขายที่เป็นสัญญาที่เขียนบนกระดาษ

เพราะเขาไม่ต้องการที่จะเทรด หรือซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างกระดาษที่เป็น US ดอลลาร์ หลายคนเรียกมันว่าเป็นขยะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากอากาศ เปลี่ยนไปเป็นสัญญากระดาษ ที่รับรองด้วยบริษัทใน Wall Street ในตลาดหุ้น ที่มีตราประทับรับรองว่า พวกเขาจะรับประกันว่า ใบสัญญาในกระดาษดังกล่าวสามารถซื้อขายได้

21. ลงทุนในสิ่งที่จับต้องได้

ซึ่งสิ่งที่ Grant Cardone พยายามจะสื่อก็คือ เขาต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่จับต้องได้ มากกว่าสัญญาซื้อขายที่มีแต่ในกระดาษ

22. โลก Metaverse ยังเลือนลาง

ส่วนถ้าถามถึงที่ดินในโลก Metaverse หรือในภาษาไทยที่ชื่อว่า จักรวาลนฤมิต ทาง Grant Cardone ก็บอกว่า เขามองว่ามันเป็นเรื่องที่เลื่อนลอย เพราะถ้าอย่าง Facebook หรือบริษัทแม่ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Meta นั้น บอกว่าจะเข้ามาลุยในตลาด Metaverse อย่างจริงจัง เขามองว่า ทุกวันนี้ แพลตฟอร์มในเครือของพวกเขาอย่าง Facebook และ Instagram พวกเขายังเอาพวกบอท พวกสแปม ออกไม่ได้เลย ถ้าไปลุยในโลก Metaverse ก็คงไม่น่ารอด

23. โลกอินเตอร์เน็ต คือ โอกาส

ส่วนโอกาสในการทำเงินในการลงทุน ในโลกยุคปัจจุบันนั้น ทาง Grant Cardone ก็บอกว่า โลกในยุคนี้ เป็นยุคที่มีโอกาสการทำเงินอย่างเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถหาเงินได้โดยที่ไม่ต้องก้าวขาออกจากบ้านซะด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถเข้าถึงคนได้ทั่วโลก โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า อินเทอร์เน็ต

ที่หากย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ตัวของเขาเองนั้น ไม่มีผู้ติดตามบนโลกโซเชียลเลยแม้แต่น้อย ไม่มี Follower สักคน เรียกว่าเริ่มต้นจากศูนย์ ซึ่งเขาก็เพิ่งมาเริ่มทำโซเชียลมีเดียครั้งแรกๆ ก็ตอนอายุปาเข้าไป 50 ปีแล้ว เป็นคนแก่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับโลกอินเทอร์เน็ตเลย ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกเทคโนโลยี ใช้สมาร์ทโฟนก็ยังไม่เป็น บัญชี IG YouTube นั้นก็ไม่มี

ซึ่งเขามองว่า โซเชียลมีเดียเหล่านี้ คือเครื่องมือที่จะช่วยให้ Creator ที่ผลิตเนื้อหาที่ดี และเป็นประโยชน์ สามารถเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก

โดยเขาได้เล่าว่า ในสัปดาห์ก่อนที่จะให้สัมภาษณ์นี้ เขาก็สามารถใช้เครื่องมือดังกล่าว ช่วยให้เขาเข้าถึงผู้คนที่สนใจลงทะเบียนเรียนฟรี เกี่ยวกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้มากกว่า 125,000 คน และก็มีคนที่เรียนเนื้อหา Advance ต่อจำนวนอีก 20,000 คน ที่พวกเขาตัดสินใจที่จะลงทุนในตนเอง เพื่อให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และก็นำพาให้เขา และผู้เรียนได้มาเจอกันในงานสัมมนาจริงๆ

24. ผู้คนอยู่ที่ไหน เงินก็อยู่ที่นั่น

ดังนั้น นี่คือความน่าทึ่งของยุคอินเทอร์เน็ต ที่สามารถเชื่อมผู้คนเข้าหากันได้ง่ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยก็ว่าได้ ซึ่ง Grant Cardone ก็บอกว่า การที่บริษัทของเราจะทำเงินได้มากขึ้นนั้น ก็คือการที่บริษัทเราสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้มากขึ้น ไม่ใช่เชื่อมต่อกับเงินกระดาษ ดังคำกล่าวที่ว่า “ผู้คนอยู่ที่ไหน เงินก็อยู่ที่นั่น”

25. โลก Metaverse ไม่ใช่คำตอบ

ซึ่งในอนาคต ถ้าหากผู้คนไปรวมตัวกันที่โลก Metaverse คุณก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อมต่อกับผู้คนผ่านโลกดังกล่าว และพาพวกเขามาในโลกแห่งความเป็นจริง และเมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้คนที่รู้จักคุณมากพอ และคุณสามารถทำประโยชน์ และช่วยเหลือผู้คนได้มากพอ เมื่อนั้น เงินทองจะหลั่งไหลเทมาที่คุณอย่างมหาศาล

26. อเมริกายังคงแข็งแกร่ง

ส่วนถ้าถามว่า จะมีประเทศใดที่จะสามารถขึ้นมาแทนสหรัฐอเมริกาภายใน 5 ปีต่อจากนี้ได้หรือไม่ ทาง Grant Cardone ก็บอกว่า เขาคิดว่าตอนนี้สหรัฐอเมริกายังคงแข็งแกร่ง และมีข้อเสนอการลงทุนที่ดีที่สุดในโลกอยู่

ซึ่งถ้าหากคุณยังไม่เชื่อ เขาก็บอกว่า ก็ให้คุณลองเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกดู ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ดูไบ ออสเตรเลีย อังกฤษ คุณก็จะพบว่า อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกานั้น ยังคงถูกมาก เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ที่ว่ามานั้น

โดยเขาเชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา กำลังจะถึงช่วงราคา On Sale ซึ่งจากการศึกษาของเขานั้น เขาบอกว่า ในอนาคตอันใกล้ จะมีคนยุค Baby Boomer จำนวนกว่า 75 ล้านคน กำลังเข้าสู่วัยเกษียณ แล้วก็จากโลกนี้ไป ซึ่งคนกลุ่มนี้ พวกเขาส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด จะลงเอยด้วยการไปอยู่บ้านพักคนชรา และไม่มีใครซื้อบ้านแล้ว

ดังนั้น มันจะมีบ้านที่ไม่มีคนอยู่อาศัย ว่างอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ขายไม่ออก เพราะคนรุ่นใหม่นั้น ช่วงเริ่มต้นวัยทำงาน พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะซื้อบ้าน เพราะพวกเขาชอบการเช่าอยู่มากกว่า มันคล่องตัวกว่า เปลี่ยนถิ่นฐานที่อยู่อาศัยก็ง่ายกว่า

27. เช่า คุ้มกว่า ซื้อ

ซึ่งสาเหตุที่ในปัจจุบันการเช่าอยู่อาศัยเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับในอดีตเมื่อราวๆ 20 กว่าปีที่ผ่านมานั้น ก็คือ ในปัจจุบันมันมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มาพร้อมกับห้องเช่าด้วย ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำ สวนหย่อม ระบบรักษาความปลอดภัย ถนนส่วนบุคคล ห้อง Fitness และอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด

ที่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับการซื้อบ้านเองแล้วนั้น การเช่าอยู่คุ้มค่ากว่ามาก เพราะมีต้นทุนที่ต่ำกว่า และไม่มีภาระผูกพัน ดังนั้นหากคุณคิดจะลงทุน อาจจะมองอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการซื้อบ้านเอาไว้
อยู่เอง

28. อย่าขี้เกียจ และอย่าเป็นคนไม่ดี

และสุดท้าย Grant Cardone ก็บอกว่า “ถ้าหากว่าวันนี้คุณยังจนอยู่ จงอย่าเป็นคนขี้เกียจ และอย่าเป็นคนไม่ดี เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว คุณจะกลายเป็นทั้งคนที่ถังแตก และคนเลวในเวลาเดียวกัน”

ดังนั้น จงออกไปทำงาน ทำงาน ทำงาน

และนี่ก็คือ วิธีร่ำรวยในยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่ โดย Grant Cardone

Exit mobile version