วันนี้ก็นั่งนึกว่า น้ำท่วมครั้งนี้มันกินพื้นที่คนเมืองมากและทำให้คนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า และ ทำให้คนไทยรู้กันด้วยว่า เรื่องน้ำท่วมไม่ได้เป็นเรื่องเล่นๆ และ การจัดการน้ำ จะต้องเอาคนที่ฉลาดที่สุด เข้ามาจัดการเพื่อที่จะทำให้ทุกคนอยู่กันได้อย่างเป็นปกติสุข ก่อนหน้าที่จะเกิดปัญหาเรื่องน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นน้ำแล้งหรือน้ำท่วมก็สุดแล้วแต่ คนกรุงฯ น่าจะมองว่า เรื่อน้ำท่วมเป็นเรื่องไกลตัว เพราะ ส่วนมากแล้ว มักจะออกข่าวที่หน้าจอทีวีว่า จังหวัดนู้นจังหวัดนี้น้ำท่วม พื้นที่การเกษตรไปแล้วกี่ไร่ อะไรก็ว่าไป และไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนแต่ประการใด เพราะ มันไม่ได้เป็นพื้นที่ของเรา อะไรทำนองนั้น สภาพน้ำท่วมที่อยู่ที่โซนพื้นที่อื่น แทบจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรโดยตรงหรือสร้างความเดือดร้อนโดยตรงกันพื้นที่ที่แห้งอยู่เลยแม้แต่น้อย
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการท่วมครั้งไหนๆ คนกทม. มีโอกาสได้ประสบการณ์น้ำท่วมกันถ้วนหน้า ในเขตพื้นที่ ที่ไม่เคยท่วมมาก่อน ก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่ท่วม และสิ่งนี้ก็เป็นการกะรันตีแล้วว่า พื้นที่ที่ทุกคนบอกว่า มันไม่ท่วมหรอก หรือไม่เคยเจอน้ำท่วมมาก่อนก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่ท่วม ! แค่ว่ามันยังไม่เคยเท่านั้นเอง พื้นที่ที่ผมอาศัยอยู่ ก็ไม่เคยเจออาการน้ำท่วมระดับสูงมาก่อนเหมือนกัน แต่ก็คาดว่า การท่วมครั้งนี้ พื้นที่ที่ผมอยู่นั้นก็อาจจะรอดจากการน้ำท่วมก็เป็นไปได้เช่นเดียวกันครับ แต่อย่างไรก็ดี มันก็ไม่ได้เป็นตัวที่บอกว่าถ้าหากว่ามีน้ำท่วมครั้งหน้า น้ำจะไม่ท่วมครับ
คนเรียนรู้แล้วว่าพื้นที่ที่น้ำไม่เคยท่วมก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่ท่วม
ทำให้ผมคิดเรื่องราวเดิมๆเกี่ยวกับหนังสือ หรือ เนื้อความในหนังสือ Black Swan ที่ทั้งเล่มต้องการจะบอกสื่อความแค่ประการเดียว คือ สถิติไม่ได้สะท้อนภาพของความแน่นอนได้ หรือ นั่นก็แปลง่ายๆ เหมือนกับที่เราๆเข้าใจก็คือ “ความไม่แน่นอน คือ สิ่งที่แน่นอนที่สุดแล้ว” คนเราบอกไม่ได้หรอกว่า พื้นที่ที่ไม่เคยท่วม (ประมวลผลแบบสถิติ) ก็จะไม่ท่วมตลอดไปแล้ว อย่างไรก็ดี นั่นเป็นข้อมูลที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะมี และ เราไม่สามารถที่จะทำนายอนาคตได้อย่าง 100% ในหนังสือจะเปรียบเรื่องราวที่เป็นประเด็น คือ คุณคิดว่ามีหงษ์สีดำหรือเปล่า ? ซึ่งคุณก็อาจจะคิดว่า หงษ์ดำไม่มีในโลกนี้แน่นอน แต่นั่นก็เป็นเพราะว่า คุณยังไม่เคยเห็นมันต่างหาก เพราะ ถ้าหากว่าคุณเห็นมันแม้แต่ตัวเดียว มันก็จะทำให้ประโยคที่คุณว่าไว้ไม่เป็นจริงอีกตลอดกาล การคิดแบบสถิติทั่วไปก็เหมือนกัน คือ เราเอาประสบการณ์ของเราแล้วประมวลเป็นสถิติ แม้คนที่ไม่เคยเรียนสถิติก็ตาม ก็ยังจะมีแนวคิดแบบสถิติอยู่ดีแม้ว่ามันเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม (เช่น ที่โต๊ะรูเล็ต ก็จะมีแผ่นป้าย Electronics บอกว่า เพิ่งจะออกเลขอะไรไปแล้วซึ่งจริงๆแล้วเป็นข้อมูลทีไม่ได้เกี่ยวข้องสัมพันธ์อะไรกับตัวเลขใหม่ที่กำลังจะออก) น้ำท่วมก็เช่นเดียวกันน่ะครับ คือ สถิติบอกว่าพื้นที่นั้นๆไม่เคยน้ำท่วมมาก่อน ซึ่งก็ได้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องอะไรกับ ประโยคที่ว่า “น้ำมันไม่ท่วมพื้นที่นี้” แต่อย่างใด
การท่วมของพื้นที่แตกต่างหลากหลาย และระดับความรุนแรงของน้ำในแต่ละพื้นที่ ที่ไม่เหมือนกันนั้น จะโดนเก็บเอาไว้เป็นข้อมูลอ้างอิง สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เพื่อที่จะเลือกซื้อบ้านใหม่ หรือ เลือกที่อยู่อาศัยใหม่อีกครั้ง เพราะ ผมว่า น่าจะมีเยอะคนที่คิดว่า การท่วมครั้งนี้ไม่ได้เป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน เพราะแนวคิดเรื่อง การไม่เคยมีน้ำท่วมแล้วน้ำไม่ท่วมนั้นได้ถูกทำลายไปแล้วนั่นเอง
โครงสร้างของการประเมินราคาบ้านและที่พักอาศัยจะผิดแปลกแตกต่างออกไปจากเดิม
โครงการหมู่บ้าน และ คอนโดที่พักอาศัยที่เป็นลักษณะการซื้อขาด (ไม่ได้เป็นการเช่า) ก็จะมีการพิจารณาเอาเรื่องพื้นที่ และความเป็นไปได้ของน้ำท่วม ที่แตกต่างออกไปจากเดิมเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย เพราะ ตัวลูกค้าเองที่จะเลือกหาซื้อบ้านหรือโครงการบ้าน คอนโดที่พักอาศัยนั่นก็จะมีข้อมูลเชิงนี้เหมือนกัน ถ้าหากว่าพื้นที่ที่อยู่ในเขตที่น้ำไม่ท่วมครั้งนี้ก็อาจจะ มีการปรับราคาเพิ่ม และ พื้นที่โครงการที่โดนน้ำท่วมก็จะต้องมีการปรับราคาลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ ผมว่าคงไม่มีใครอยากจะอยู่ในพื้นที่ ที่เคยมีน้ำท่วมมาแล้ว และถ้าหากว่ายิ่งรู้ว่า พื้นที่หรือบ้านโครงการนั้นๆ มีน้ำท่วมสูงมากๆ ก็จะทำให้ราคาตกลงอย่างรุนแรง (เนื่องด้วยคนไม่อยากจะซื้อมันอีกแล้ว หรือคนที่ซื้อไปแล้วก็อยากจะขายต่อด้วยราคาแสนถูกด้วยซ้ำ) ผมว่า การปรับเปลี่ยนของราคาบ้านพักอาศัยโดยพิจารณาจากพื้นที่น้ำท่วมครั้งนี้ ทำให้คนเรียนรู้ว่า คันกันน้ำอยู่ที่ไหน แม่น้ำมีคันกั้นน้ำสูงเท่าไหร่ พื้นที่นั้นอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางมากแค่ไหน ซึ่งแต่ก่อน คนธรรมดา ที่ซื้อบ้านไม่ได้เคยสนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะ จะมองแค่ว่า การเดินทางสะดวกมั้ย จะมีห้างแถวนั้นหรือเปล่า หรือจะมีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านมามั้ย ในอนาคตกันใกล้นี้ โดยไม่ได้สนใจเรื่องว่าพื้นที่อยู่สูงแค่ไหน และ บ้านจะทำโครงการนั้นมีการถมที่ขึ้นไปสูงขึ้นไปอีกเท่าไหร่
ลองคิดดูแล้วกันว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาบ้านพักอาศัยกันแบบยกใหญ่ แบบคาดการณ์ไม่ได้ว่า ที่ไหนจะเหลือเท่าไหร่ และ พื้นที่ไหนจะราคาขึ้นเท่าไหร่ เพราะ Demand และเหตุปัจจัยในการเลือกซื้อบ้านมันเปลี่ยนแปลงไปแล้วล่ะครับ