Post การเมืองหรือศาสนา ใน Wall บน Facebook = Delete account

facebook delete button

ผมสังเกตว่าพักนี้มีคนโดนไล่ออกเพราะว่า post comment อะไรแปลกๆที่ไม่น่าจะ post เพราะไม่ฉลาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง หรือ เรืองศาสนา (แต่ว่าตอนนี้เรื่องศาสนาก็ไม่ได้มีใครไป post กันหรอกครับเพราะว่ามันก็ไม่ได้เป็นประเด็นร้อนแรงอะไรเป็นพิเศษ) ซึ่ง ตั้งแต่เด็กๆ เราๆ ก็รู้อยู่แล้ว เรื่องใดบ้างไม่ควรพูดในที่สาธารณะไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็แล้ว อันได้แก่ เรื่องความคิดเห็นทางการเมือง (ในกรณีที่มีความรุนแรงมั่วมากมายเกิดขึ้นก็ยิ่งไม่ต้องพูดเข้าไปใหญ่) และ เรื่องศาสนา เพราะทั้งสองเรื่องเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อ ที่ไม่สามารถจะปรับจูนกันได้ง่ายครับ สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าสองเรื่องนี้ไม่ควรพูด หรือ กล่าวถึง ก็แนะนำว่ารู้ไว้หน่อยก็ดี เพราะเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่สอนต่อๆกันมาครับ

เหตุผลว่าทำไมไม่ควรพูดนั้นมันก็เพื่อการรักษาน้ำใจ และ การรักษาสถานภาพทางสังคมที่ตัวเองนั้นมีอยู่ครับ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติที่แปลกไปถ้าหากว่า เรารู้ว่าคนๆนั้นคิดไม่เหมือนกันเรา (จริงถ้าหากว่าไม่รู้ซะ เราก็ยังคิดกับเค้าเหล่านั้นเหมือนเดิมครับ) หรือว่า เพื่อเป็นการป้องกัน อุบัติภัยอันอาจจะเกิดกับตัวเองได้ครับ เพราะ คนเมื่อมีการคุยเรื่องอะไรพวกนี้ คนจะมีอารมณ์ได้ง่ายมาก อย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะเป็นธรรมชาติของวิธีการประมวลผลทางความคิดของคนอยู่แล้วครับ เพราะ ถ้าหากว่าเราเชื่ออะไรแล้วไซร้ เราก็คิดอย่างงั้นโดยเปลี่ยนแปลงได้ยาก และหลีกเลี่ยงที่จะรับรู้ และตกใจ อาการนี้ สมมุติฐานนี้ อาจจะออกแนวจิตๆนิดหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องที่คนในวงการ การศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ รับรู้กันมาได้สักพักใหญ่ๆแล้วครับ ผมไม่ได้มั่วคิดเอง มันเป็น Theory ที่ใช้ได้กับการ reseach สินค้าใหม่ หรือ การสื่อสารโฆษณาสินค้า ครับ และ มันก็เกี่ยวเนื่องกับการรับรู้สิ่งใหม่ที่ตนไม่เคยรู้มาก่อนด้วยเช่นเดียวกันครับ เราเรียกทฤษฏีนี้ว่า "Knowledge gap"

วันก่อนผมก็เพิ่งอ่านเกี่ยวกับ ความคิดสุดโต่งที่เราไม่รู้ตัวว่ามันสุดโต่ง เพราะ เราอยู่ในกลุ่มคนที่คิดเหมือนๆกัน และมีการปฏิสัมพันธ์ (contact) ติดต่อสื่อสาร ผ่านสื่อ และ การพูดคุยกับคนที่มีแนวคิดเดียวกัน แล้วเมื่อออกจากกลุ่มที่คิดเหมือนกัน และ รับฟัง หรือในทางตรงกับข้ามอธิบายเกี่ยวกับ เรื่องที่เราคิดว่ามันเป็นอย่างงั้น และ เรื่องที่เราคิดว่าเรารู้อย่างงั้น ให้กับคนที่ไม่เคยรู้เรื่องราวเหล่านั้น ปรากฏว่า "ความคิดและสิ่งที่เรารู้กลับเป็นเรื่องสุดโต่ง" ที่อีกกลุ่มฟังแล้วตกใจ คิดและรู้ ไม่เหมือนกันอย่างรุนแรง ทำให้เกิด Knowledge GAP ขนาดใหญ่ สำหรับทั้งสองฝ่ายที่รับรู้ เรื่องราว ความคิดที่ไม่เหมือนกันนั้น แน่นอนว่าการเกิด Knowleadge gap แบบใหญ่ๆนั้นทำให้คนตกใจ มีอารมณ์ โทสะ และสถาวะกลัวได้

ลองคิดกลับมาที่เรื่อง online แบบ rackmanager บ้าง ? แล้วมันเกี่ยวอะไร ?

เกี่ยวอย่างแรงน่ะครับ ว่าตอนนี้เรามีปฏิสัมพันธ์กันอย่าง online ไม่ว่ากับเพื่อนจริงๆ หรือเพื่อน online ของเราผ่านเนื้อความที่พิมพ์ และ บันทึกเอาไว้อย่างเป็นระบบ สะดวกต่อการเผยแพร่มากที่สุดตั้งแต่ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติจะกระทำได้ นั่นก็คือ การใช้ social media ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twitter

เหตุผลทางความคิดก็ต้องคิดและกระทำเกือบเหมือนกับโลกจริงนั่นน่ะหละ (ก็ online มันก็โลกจริงเหมือนกันแค่ว่าคนไม่ได้เจอกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *