ผมมีโอกาสได้คุยกับคุณอาท่านหนึ่งซึ่งผมว่า เขาเจ๋งมากเลย คุณอาท่านนี้ เขามีอาชีพทำการเทรดผักพืชหรือผลไม้ใดๆที่เป็นการโยกย้ายเวลาความสุกของอาหาร หรือ ถนอมอาหารเอาไว้จนกว่า อาหารนั้นจะมีราคาขึ้นมากกว่า 2-5 เท่าก็ว่าได้ ง่ายๆ เช่น ซื้อผักชีกำ.ละ 20 บาทเพื่อเอาไปขายกำละ 120 บาทได้โดยการถนอมสภาพทางกายภาพของมันเอาไว้ หรือ ทำให้พืชมันโตไม่ได้พร้อมกับชาวไร่คนอื่นๆเขา
คนที่มีอาชีพแบบนี้นี่แหละ ที่ทำให้เราได้กินอาหารหรือผลไม้ตลอดทั้งปี แต่ราคาแพงขึ้น ถือว่าเป็นกำไรของความสามารถของกลุ่มพ่อค้าแบบนี้
ที่ผมเรียกเขาว่าเป็นพ่อค้า เพราะ เขามีแนวคิดธุรกิจที่เรียกได้ว่า update เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด ทั้งๆที่เป็นมุมมองจากนักธุรกิจแบบเดิม แต่ฟังแล้ว เล่นเอาตกใจเหมือนกันว่า นี่เขามีความคิดแบบเดียวกับ Startup ด้วยซ้ำได้ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน นิดหน่อยระหว่าง Startup จากหนุ่มไฟแแรงทั้งหลาย และ คุณอาที่อายุบอกว่าใกล้ฝักเข้าไปทุกที
ทั้งกลุ่มคนที่เป็นหนุ่มไฟแรง และ พ่อค้าที่อายุมากแล้ว มีความคิดเดียวกันที่ซ้อนกันอย่างไม่น่าเชื่อก็คือ “ทำธุรกิจต้องแม่น ไม่มานั่งคลำงูๆปลาๆกันแล้ว” และ “เวลาเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด เราจะเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!” ทำให้แนวคิดที่ Startup ใช้กับพ่อค้ามากประสบการณ์ท่านนี้ต้องทำเหมือนกัน คือ การยืนยันตลาด ! ว่ามันเป็นสินค้าหรือบริการ ที่มีความยอมจ่ายเงิน แล้วเอาโอกาสนี้มาประเมินต้นทุนว่า เราสามารถทำออกมาให้ได้ต้นทุนสินค้าและดำเนินการได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ราคาของตลาดที่รับได้ แล้วบอกมาว่า ถ้าหากว่าทำแล้วจะกำไรได้เม็ดเงินแค่ไหนกัน !?
ซึ่งหลักการนี้เป็นหลักการพื้นฐานของนักรบธุรกิจสมัยใหม่ที่ แคร์ เรื่องเวลาว่าจะไม่ยอมโง่เสียเงินไปกับกิจการที่ไปไม่ได้ หรือไม่ทำกำไร และ แคร์ว่าสินค้าหรือบริการที่กำลังจะทำนั้น มันมีคนเห็นคุณค่าแล้วยอมจ่ายเงินคุ้มค่าเหนื่อยและเงินที่จะลงทุนไปหรือไม่
โดยสรุปความเหมือนที่แตกต่างระหว่างพ่อค้าประสบการณ์ และ หนุ่มมือใหม่ Startup
พ่อค้านักธุรกิจมากประสบการณ์ : ใกล้เข้าฝั่งแล้ว(ต้องเร็ว)และรู้ว่าเงินลงทุนไปมากมันจะหมด(ต้องใช้เงินน้อยในการบอกได้ว่ามันมีตลาดไหม)
นักธุรกิจหน้าใหม่และ Startup : ต้องทำธุรกิจที่ประสบความไว(เท่ห์ดูฉลาด)และ เงินลงทุนไม่ค่อยจะมีมาก (ต้องใช้เงินน้อยในการบอกได้ว่ามันมีตลาดหรือเปล่า)
วิธีการสร้างธุรกิจแบบเถ้าแก่ล้าหลังที่ว่ามันเป็นยังไงกันเหรอ ?
สมัยก่อนเคยได้ยินว่า มันเป็นยุคเฟืองฟูของอุตสาหกรรม และ การทำงานหนัก เชื่อมั่นและมุ่งหวังการทำงานใดๆก็ย่อมทำให้เกิดผลลัพธ์ได้ในที่สุด และ ยังก่อให้เกิดความร่ำรวยกับคนจำนวนมากในยุคดังกล่าว (ที่มันผ่านไปแล้ว) คนหนึ่งคิดว่าทำอาคารชุดดี ก็ลงมือทำได้ทันที และก็มีคนมาอาศัยเสียด้วยซิ คนหนึ่งคิดว่า อยากจะขายผักผลไม้ให้กับผู้ค้าปลีกในกทม. โดยการขนผักผลไม้มาจากต่างจังหวัดแล้วมาเล่ขายก็เขาก็ทำออกได้ในทีี่สุด และ ทำให้กำไรสร้างรายได้ให้กับตัวเขาเสียด้วยซิ จะสังเกตได้คือ “Just Do it!” เป็นวิถีการคิดและแนวทางในการกระทำของพวกเขาเหล่านั้นในการสร้างอาณาจักรธุรกิจของพวกเขาเหล่านั้น และ นิยามนี้ เราเรียกกันในระหว่างการสนทนาระหว่างพ่อค้าและผมว่า “วิถีเถ้าแก่”นั่นเอง
คนที่ใช้แนวคิดวิถีเถ้าแก่นั้นส่วนมากแล้วจะแก่และเป็นคนส่วนใหญ่ (ที่น่าสงสารที่สุดในโลก) เพราะ พวกเขาเหล่านั้น ไม่รู้ว่ามันมีวิธีการที่ทำให้เราสามารถมั่นใจได้ว่า กิจกรรมใดๆที่กำลังกระทำอยู่นั้นหรือแรงงาน แรงเงินที่ใส่เข้าไปเพื่อสร้างธุรกิจนั้น มันจะทำกำไรได้หรือเปล่า ? ซึ่งที่่ว่า น่าสงสารก็เพราะว่า พวกเขาเหล่านี้หากเลือกทำธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งแล้ว แล้วมันไปไม่รอดโอกาสไม่รอดเรียกได้ว่า 90% ก็ว่าได้ ! มันจะต้องเสียชีวิตไปตามจำนวนปีปฏิทินที่เขาเหล่านั้น หลอกตัวเองว่า สักวัน มันจะต้องเป็นสินค้าหรือบริการที่กุมหัวใจใครสักคนในที่สุด ! เช่น สร้างโรงงานผลิตใช้เวลา 3 ปี และ หาผู้ลงทุนอีก 1 ปีทั้งหมดก็คือ 4 ปี มันจะลอยไปกับทะเลอย่างไร้ความหมายสิ้นดี ทั้งๆที่ …. มันมีกระบวนวิธีในการทำกลับทางกันแล้วโดยไม่ต้องเสียเวลา 4 ปีที่ว่าเอาไปโยนทะเล แทนที่จะเป็น 4 ปี จริงๆ แค่ 4 เดือนก็รู้แล้วว่าธุรกิจมันจะรอดหรือเปล่าหรือธุรกิจมันจะรุ่งโรจน์มั้ย ?
คิดเอาเองแล้วกันว่า 4 ปีกับ 4 เดือนมันต่างกัน 12 เท่า และ คุณอาๆรุ่นลุงๆ เขาไม่เหลือเวลาในชีวิตมากขนาดนั้นอีกแล้ว !
อย่างว่าแหละ … โอกาสการที่ธุรกิจมันจะไปรอดนั้นไม่เกินไปกว่า 10% และ มันจะรุ่งก็เหลือคงไม่เกินไปกว่าตัวเลขหลักเดียว ทำให้เวลาต่างหากที่เป็น “จุดตาย” ของการสร้างธุรกิจใหม่
คนหนุ่มไฟแรงแม้นหากว่าเขาใช้วิถีทางเถ้าแก่เขาก็ยังทำได้เป็นสิบรอบหากมองในมุมมิติเวลา หรือจนกว่าเงินจะหมด (รอบอาจจะเยอะหรือน้อยแล้วแต่ว่าหนุ่มนายนั้นมีทักษะที่สร้างรายได้ได้มากน้อยแค่ไหนที่ไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจที่กำลังทำอยู่ เช่น ถ้าหากว่าเป็นวิศวกร block chain อาจจะมีรายได้เดือนละ 3 แสนบาท ก็ทำให้มีโอกาสไปสร้างธุรกิจได้เท่ากับจำนวนเงินที่เขามีเป็นต้น)
แล้วแต่ว่า “เวลา” หรือ “เงิน” จะหมดก่อน นั่นแหละ จะทำให้รอบการทำธุรกิจให้ล้ม มันมีจำนวนรอบในแต่ละคนไม่เท่ากัน เวลา คนหนุ่มกว่าย่อมได้เปรียบกว่า เงิน คนที่ทำธุรกิจอื่นมาก่อนหรือคนที่มีทักษะในการสร้างรายได้ที่มากก่วา ก็ทำให้รอบล้มธุรกิจได้มากกว่าเหมือนกัน เลือกเอาว่า คุณจะเลือกใช้ทรัพยากรอะไรสำหรับการล้มธุรกิจของตนเองเพื่อให้ได้รอบการล้มนั้นมากขึ้น
ผมมักจะคิดแบบนี้เสมอว่า ถ้าหากว่าโอกาสในการทำอะไรให้รุ่งมันเป็นเพียง 5% แปลว่า ถ้าหากว่าคุณล้มธุรกิจสัก 20 รอบแปลว่า คุณจะได้พบกับธุรกิจที่รุ่งได้ 1 ธุรกิจ นั่นแปลความได้ว่า หากล้มมาก ถี่มาก เร็วมาก ด้วยวิธีการที่ยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าธุรกิจมันจะรอดหรืือมันจะรุ่งแล้วล่ะก็ … แบบนี้ Just Do it ! คือ การล้มลุกให้ไวมันถึงจะเห็ยผลลัพธ์ในที่สุด
เรื่องที่โครตจะเศร้าสำหรับบั้นปลายชีวิตของคนลงแรงสร้างธุรกิจเฮือกสุดท้ายแบบวิถีเถ้าแก่
การทำธุรกิจไปแบบลงทุนเต็มที่ และ ลงเงินเต็มสูบ ที่วิถีธุรกิจใช้กันในยุคโบราณนั้น กลับทำให้รอบการล้มมันทำได้น้อยครั้งเอามากๆ และ จะกลายเป็นคนสิ้นหวังทางธุรกิจไปเสียก่อน เนื่องจาก มีต้นทุนทางจิตวิทยาไปผูกมัดกับสิ่งที่ได้กระทำไปแล้ว ทำให้โครตจะเสียใจเลย หากธุรกิจว่าทำดูมันล้ม (เพราะเล่นทุ่มสุดตัวสุดเงินซะขนาดนั้น) กลับทางกัน กับพวก Startup โมเดลใหม่ๆ ที่ดูเหมือนจะทุ่มอยู่หรอก แต่การทุ่มนั้นกลับเพื่อมีเป้าหมายเพื่อดูว่า มันมีอะไรที่ต้องทำจริงหรือเปล่า หรือ คุณค่าของธุรกิจมันอยู่ที่ไหนกันแน่ และ มันคุ้มไหมที่จะลงแรงทำกันจริงๆ ต่างหาก หากคุณอายุมากแล้ว และ เล่นลงทุนลงแรงกับธุรกิจที่ล้มเหลวที่ผุกติดกับต้นทุนทางจิตวิทยาแล้วล่ะก็ .. คุณจะตายไปโดยที่ตัวเองรู้สีกไร้ค่าสิ้นดี ! และ นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสารที่สุดในโลกแล้ว ทั้งที่ เขาเหล่านั้นเป็นคนดีและต้องการสร้างสรรธุรกิจดีๆให้กับสังคม และ จุนเจือรายได้ให้กับตนเองและคนข้างหลัง ใช่ … มันน่าเศร้าอย่างสุดซึ้งกันเลยก็ว่าได้ และ ผมเองก็ไม่อยากจะให้ใครต้องมาเจอชนักปักหลังจนนอนโลงแบบนี้เท่าที่ผมจะบอกและเผยแพร่ความคิดแบบนี้ออกไปได้ !
วิถีเถ้าแก่ มันเป็นความหายนะของคนสัดส่วนมากกว่า 80% ของคนรุ่นคุณอา ที่เข้ามาปรึกษาทางธุรกิจกับเขา ซึ่งเมื่อคุณอาพ่อค้าประกบการณ์มากคนนี้บอกเล่าเรื่องเหล่านี้กลับมองว่า ทำไมไม่เห็นด้วยเลยล่ะ ? แล้วก็พาลคิดว่า ตาเพื่อนของเราคนนี้เปลี่ยนไป ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เคยรู้จักกัน … อืม… ก็มันใช่แล้วล่ะ เพราะ คุณอา เขา .. มีประสบการณ์มากขึ้นยังไงล่ะ ไม่เหมือนตอนเพิ่งเรียนจบทำงานอะไรแบบนั้นหรอกนะผมว่า
ดังนั้นแล้ว มันเป็นการยืนยันนอนยันได้อย่างเต็มสูบว่า แนวคิดของการทำธุรกิจแบบเถ้าแก่ มันล้าหลังเอามากๆ และ ไม่มีคนที่อยากจะใช้วิธีการของเถ้าแก่ในการสร้างธุรกิจแล้ว หากเขาเหล่านั้นเป็นมือใหม่จริงๆ (ที่รู้ทฤษฎีและอ่านหนังสือมาเพียงพอเกี่ยวกับ Startup) หรือ เขาเป็นพ่อค้ามากด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการล้มเหลวมากอย่างโชกโชนหลากหลายโครงการธุรกิจ
ผมได้สร้างเว็ปขึ้นมาอันหนึ่ง เรียกว่า biztestrun.com เป็นเว็ปที่ผมตั้งใจอย่างมุ่งมั่นว่า ผมต้องการหาคนรวมตัวกัน ของคนที่อยากจะทำธุรกิจตอนสุดท้ายของชีวิต และ คนที่เป็นคนที่ไม่มีเงินในการทำรอบล้มทางธุรกิจได้มากนัก มาเจอกันและมาฟังแล้วก็คุยกันว่า เราจะเอาวีธีการของ Startup ยุคใหม่มาประยุกต์ใช้กับ “ความอยากจะสร้างธุรกิจ” ของเราได้อย่างไรกัน หากคุณสนใจเข้าไปบอกรับ email ในเว็ปนั้นเอาไว้เสียหน่อย เมื่อผมพร้อม ผมจะส่งอีเมล์หาทุกคนเพื่อสื่อสารเรื่องราวและแนวคิดแบบ Startup ให้กับคุณๆเพื่อไม่ให้เกิดเหตุโศกนาศกรรมทางธุรกิจแบบนี้กับคนไทยโดยทั่วกัน