ปกติแล้วผมจะไปหาหมอฟันที่โรงพยาบาลฟัน ทุกครึ่งปี โดยทางรพ. จะติดต่อมาทาง mail ส่งมาเป็น Post card เพื่อเตือนผมว่า ได้เวลาเสียเงินแล้วซิ ! โดยการบอกอย่างสุภาพว่า บัดนี้ได้ถึงเวลาเข้าตรวจและขูดหินปูนเพื่อรักษาสุขภาพฟันของท่านเป็นประจำทุกครึ่งปีแล้ว ให้ติดต่อเพื่อนัดวันด้วย ซึ่งสำหรับความถี่นี้ ผมถือว่าไม่มาก แล้วก็ไม่น้อยสักเท่าไหร่สำหรับการเข้าพบหมอฟันเพื่อขูดหินปูน เพราะ แต่ก่อนผมจำได้ว่าตั้งแต่เด็กๆว่า การเข้าไปขูดหินปูน หรือว่า update status ช่องปากนี่ มันจำได้ว่า ต้องเข้าประจำเป็นรายปี คือ ปีละครั้งไม่ใช่หรือ ? หรือว่าที่ผมเคยรู้มันไม่ถูกเท่าไหร่ เอาล่ะครับ แต่ว่าไม่เป็นไร ผมก็เดาเอาเองว่า ถ้าหากว่าไปปีละสองครั้งก็อาจจะดีกว่าก็ได้ เพราะ มันเป็นการ update สถานะของสภาพฟันได้ดีและถี่กว่าเดิมครับ
ผมไปพบหมอแล้วหมอก็จะหาประเด็นเพื่อเม้นท์ว่าช่องปากของเราเป็นอย่างไร และ ให้เราได้แสดงความภูมิใจหากว่า ช่องปากดี ไม่มีปัญหาประการใดก็บอกหมอเขาไป คุณหมอฟันก็จะบอกว่า “ดีมากค่ะ/ครับ” เพื่อเป็นการชื่นชมและให้กำลังใจกับการทำความดีกับช่องปากของตัวเอง และเป็นการกระตุ้นเพื่อให้การทำดีต่อช่องปากตัวเองนั้นดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องครับ
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ผมมีปัญหาเรื่องปากมีกลิ่น หรือ พูดกันง่ายๆว่าปากเหม็น ! ซึงปัญหานี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่แก้ยากอะไรเพราะสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้วว่า มันก็แค่กินน้ำให้มากหน่อย หรือกินน้ำกระจายให้ทั่วทั้งวัน และทำให้น้ำลายไม่เน่าครับถ้าหากว่าปัญหามันไม่ได้เกิดจากการผุกร่อนของฟันก็เหลืออีกแค่ไม่กี่ประเด็นเท่านั้น ซึ่งปัญหานี้ ผมก็สังเกตตัวเองเหมือนกัน ว่าถ้าหากผมเกิดอาการเครียดหรือคิดอะไร หนักๆมากๆ แล้วต่อเนื่องเป็นเวลานนาน ก็จะทำให้ผมไม่ได้ทานน้ำเปล่าเข้าไปเพื่อเจือจางความเน่าเสียของน้ำลายเก่าที่ค้างคาอยู่ในช่องปากครับ ก็ทำให้เกิดอาการเหม็นได้ หรือ เครียด ! อาจจะเป็นสาเหตุที่อ้อมๆที่ทำให้เกิดกลิ่นปากได้เหมือนกันครับ เพราะงั้นผมก็คิดกับตัวเองว่า อืม .. ก็แค่อย่างเครียดและก็บอกคนอื่นว่าไม่ต้องมาทำให้เครียดเท่านั้นก็เป็นการแก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด ผมสังเกตว่า วันไหนผมไม่ได้เครียดอะไร ก็ไม่ได้ปากเหม็นอะไรครับ และที่ดีกว่านั้นก็คือ ส่วนมากผมจะไม่เครียดอะไรอยู่แล้ว เพราะ คิดว่าการเครียดเป็นเรื่องของคนที่ไม่ทางออก หรือคิดว่าปัญหามันแก้ไขไม่ได้เท่านั้น ซึ่งเท่าที่ผ่านมาเหมือนจะทุกปัญหามันก็แก้ได้ด้วยตัวมันเอง หรือว่าก็แค่ลืมๆมันไปมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป ก็ง่ายๆแค่นั้นเองล่ะครับ … และก็ทำให้ปากไม่เหม็นอีกต่างหากเป็นของแถมด้วย !
สำหรับการหาหมอฟันครั้งก่อนผมยังจำได้ว่า เมื่อคุยกับหมอฟันแล้วมีประเด็นที่ทำให้ผมกลับมาคิดและตอนนี้ผมก็ทำอย่างสม่ำเสมอนั่นก็คือ ผมต้องใช้ไหมขัดฟันครับ ! เหตุผลที่หมอฟันแนะนำว่าทำไมต้องใช้ไหมขัดฟันก็แค่บอกว่า เพราะว่า มันมีขี้ฟัน เรียกให้ดูดีก็คือ เศษอาหารนั่นน่ะหละ ติดอยู่ในซอกฟันระหว่างฟันตรงโคนฟันครับ และ การที่จะเอามันออกมาได้ จะไม่สามารถทำได้ด้วยแปรงสีฟัน และการแปรงฟันปกติ แต่ต้องเอา Dental Floss ไปขัดมันออกมาเท่านั้นซึ่ง ผมแนะนำอย่างแรงว่า ให้คุณใช้ครับ
วิธีการใช้ก็ไม่ยากเย็นอะไรมากนัก แต่ว่าเป็นการเพิ่มกระบวนการในการดูแลฟัน (ที่ผมและคุณต้องทำไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่) คือเอามันแทรกเข้าไประหว่างฟันเกือบทุกซี่ (ที่ว่าเกือบเพราะว่าซี่ที่ลึกๆนี่ผมเองก็ไม่สามารถครับ) แล้วก็เอาเส้นโอบโคนฟันเอาไว้ด้านชิดเหงือกแล้วรูดเส้นกับเนื้อฟันเบาๆขึ้นหรือทำให้ขี้อาหารมันออกมา ตอนที่ออกนี่มันจะไม่ได้ออกมาเฉยๆน่ะครับ แต่ว่ามันเหมือนจะเป็นการดีดออกมา และ มันก็จะติดกับกระจกเงาที่อยู่หน้าอ่างนั่นน่ะหละ ซึ่งถ้าหากว่ามีติดหรือคุณบ้วนปากตอนสุดท้ายหลักคุณกระทำพิธีการทางเดนทอนฟอร์สแล้ว และผมเศษอาหารไหลวนตามกรวยน้ำที่ไหลลงสู่รูอ่างน้ำแล้วล่ะก็ ให้ยินดีกันตัวเองได้เลยว่า นั่นคือเศษอาหารที่มันไม่ต้องนอนติดไปกับคุณคืนนี้ และมันก็ไม่ได้ออกได้ด้วยการแปรงฟันที่คุณก็เพิ่งแปรงไปนั่นเอง
นอกจากนี้คุณหมอยังบอกด้วยนะครับว่า อาการอักเสบของเหงือนั้นจะแสดงให้เห็นถ้าหากว่าคุณใช้ไหมขัดฟันแล้วเหงือคุณอักเสบ ก็จะมีเลือดออกมาให้เห็นกัน แต่ว่าไม่ต้องตกใจอะไรเพราะเมื่อคุณใช้ไปสักพักประเป็นประจำ เหงือกคุณจะไม่อักเสบเพราะ เศษอาหารจะไม่ดองเอาไว้ที่โคนฟันเหมือนแต่ก่อนแล้ว ก็จะทำให้อาการเลือดออกมานั้นน้อยลง หรือไม่มีเลยในท้ายที่สุด เรียกว่า มันเป็นการป้องกันเรื่องเหงือกอักเสบอีกทางหนึ่งด้วยครับ เอาเป็นว่าถ้าหากว่าทำใช้ไหมขัดฟันแล้ว เกิดว่ามีเลือดนี่แสดงว่า คุณต้องใช้ไหมขัดฟันครับผม
สำหรับการหาหมอฟันปีนี้มีประเด็นใหม่เพิ่มเติมก็คือ ผมพบว่า (จริงๆไม่ใช่ผมหรอก แต่ว่าเป้นคุณหมอที่ตรวจฟันผมน่ะครับ) ที่เหงือกด้านในสุดทางด้านซ้ายลึกสุดใจนั้น มีอาการเริ่มต้นของการอักเสบ ผมก็นั่งคิดว่า อืม มันก็อาจจะแปรงได้ไม่ทั่วสักเท่าไหร่และ การใช้ไหมก็อาจจะไม่ได้ทำส่วนนั้นอีกต่างหาก แต่ว่า ประเด็นที่คุณหมอกลับชูเป็นประเด็นขึ้นมาคุยกับผมก็คือ “คุณอาจจะอ้าปากกว้างเกินไปตอนที่คุณแปรงฟันซี่ในสุดทำให้แก้มคุณรั้งแล้วเอาแปรงเข้าไปแปรงไม่ได้” ทำให้ผมกลับมานั่งคิดนอนคิดว่า อืม … มันก็น่าจะจริงนะ เพราะว่า ปกติแล้วคนเราถ้าหากว่าจะเอาแปรงสีฟันยัดเข้าไปในปากเพื่อแปรงฟันซี่ในลึกสุดๆแบบนั้น ก็อยากจะอ้าปากให้มันกว้างๆหน่อยเพื่อกะว่าจะเอาแปรงเข้าไปได้ลึกกว่าเดิม แต่ความเป็นจริง คุณหมอกลับบอกว่า ถ้าหากว่าอ้าปาก แก้มและกล้ามเนื้อมันจะรั้งและปิด แปรงสีฟัน ของคุณก็จะเข้าแปรงไม่ได้ครับ ! … โอ้ว … ผมก็ว่าอย่างงั้นน่ะครับ ทีนี้ถ้าหากว่าอยากจะแปรงได้แนะนำว่าให้คุณหุบปากเข้ามาหน่อยครับ เพื่อให้แก้มมันไม่มีแรงต้านมากนัก หรือถ้าหากว่าเหมือนจะทำปากธรรมดาได้ก็จะดีกว่ามากครับ เพราะ มันจะไม่มีแรงต้านในการยัดแปรงเข้าไปที่ฟันซี่ในสุดเลยครับ ทำให้คุณสามารถที่จะแปรงฟันซี่ในที่อยู่ลึกๆได้แล้วล่ะครับ และนั่นเป็น Trick เล็กๆที่ ผมว่าผมเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกัน แถมคุณหมอยังจะบอกอีกว่า “การแปรงฟันไม่ได้เป็นแค่การควบคุมแปรงเท่านั้น !” ( นั้นก็แปลอีกนัยได้ว่า คุณต้องควบคุมแก้มยุ้ยของคุณด้วยนั่นเองครับผม ..)
เอาเป็นว่าถ้าหากว่าคุณไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันก็ใช้ซะนะครับ แล้วก็ถ้าหากว่าคุณอ้าปากกว้างๆตอนแปรงฟันซี่ในสุด ก็ลองหุบมาลงมาบ้างเพื่อให้แปรงคุณไม่โดนรั้งกับแก้มของคุณ และ จะแทรกแซงได้ถึงฟันซี่ในสุดๆนั่นเอง ลองกันเอาเองแล้วกันนะครับ
คำค้นหาของคุณที่มาเจอหน้าเว็ปนี้:
- การใช้ไหมขัดฟัน