สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ หรือ การแก้ปัญหาใดๆ คุณอาจจะสังเกตว่า วิธีการแก้ปัญหา หรือ ไอเดียดีๆจะโผล่ออกมาเอง อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวครับ ซึ่งผมต้องบอกก่อนว่า คนอื่นๆ เค้าก็เป็้นอย่างงั้นเหมือนกันครับ เท่าที่สังเกตมาแท้ที่จริงแล้ว ความคิดสร้างสรรจะมีขั้นตอนของมันครับ ลองมาดูกันว่า จากการสังเกต ไอเดียหรือความคิดแปลกใหม่ หรือแนวทางแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรนั้นมาได้อย่างไรกัน ?
ขั้นแรก : คิดเรื่องนั้นให้หนักเข้าไว้
เริ่มต้นมาเมื่อคุณต้องการจะแก้ปัญหาอะไร หรือเจอตอปมปัญหา หรือโจทย์สำหรับการออกแบบใดๆก็ตามที่ต้องการแนวคิดแปลกใหม่ ขอให้คุณคิดเรื่องเหล่านั้นให้นานต่อเนื่องกัน หรือพยายาม “จมปรัก” กับมันสักพักหน่อย โดยประมาณ ผมว่าน่าจะคิดครุ่นคิด และหมกมุ่นไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน โดยที่ไม่มีอะไรมาแทรกหรือรบกวน คุณอาจจะมีปากกา ดินสอ หรือ กระดาษเพื่อที่วาดวางแผน หรือ คิดให้เป็นภาพออกมาจากหัวก็ได้ เผื่อว่าจะคิดอะไรออก (ซึ่งถ้าหากว่ายังคิดไม่ออกก็ไม่เป็นอะไรน่ะครับ) เมื่อคุณคิดอยู่นานแล้วก็เข้าขั้นต่อไปได้ทันที การคิดนั้นจะกินเวลามากเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่ความสามารถส่วนตัวครับ เช่น ถ้าหากว่าคุณคิดว่า คุณไม่ค่อยได้คิดสักเท่าไหร่ ก็ฝึกคิดให้นานขึ้น หรือถ้าหากว่าคุณคิดไอเดียได้เป็นประจำก็ลองลงเวลา “ครุ่นคิด” ลงไปก็ย่อมทำได้เช่นเดียวกัน
ขั้นตอนที่สอง : หยุดคิดอย่างเฉียบพลัน
เมื่อคุณครุ่นคิดแก้ปัญหาอะไรนานๆแล้ว ยังคิดไม่ออก ให้คุณ “หยุดคิด” โดยฉับพลันเพราะ การคิดต่อไปนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาแล้ว การใช้ CPU สมองถ้าหากว่า ประมวลผลไม่ออก อย่างต่อเนื่องแล้ว เครื่องจะเริ่มร้อน (หัวร้อน หรือแม้กระทั่งทำให้คุณหิวข้าวได้ ไม่เชื่อลองสังเกตตัวคุณเองดูว่าถ้าหากว่าคุณคิดเรื่องอะไรนานๆติดต่อกัน แล้วคุณจะมีอาการหิวเร็วกว่าเวลาปกติที่คุณหิวอยู่ทุกวัน) การหยุดคิดนั้นขอให้ คุณเข้าใจไว้เลยว่า การหยุดเป็นแนวทางที่ productive มากแล้ว เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลากับการคิดที่คิดไม่ออกนั้นต่อไป
ขั้นตอนที่สาม : ทำอย่างอื่นที่สบายมากๆ หรืออยู่ในสภาวะที่สงบ
เมื่อคุณหยุดคิดแล้ว คุณก็จะไม่คิดอะไรกับมันอีกต่อไป ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว การหยุดนั้นเป็นแค่การหยุดเฉพาะส่วนรู้สำนึกเท่านั้น โดย การทำงานของความคิดส่วนไร้สำนึกน่าจะต้องทำงานอยู่ (เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ร่างกายเราทำงานแต่เราไม่ต้องรับรู้ มันแต่จะรับรุ้มันก็ต่อเมื่อมีอะไรผิดปกติแสดงออกมา) ถ้าหากว่าเราครุ่นคิดหมกมุ่นไว้อย่างเพียงพอแล้ว ข้อมูลหรือโจทย์ทั้งหมดน่าจะส่งผ่านไปยังส่วนประมวลผลไร้สำนึกได้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า สำหรับกรณีนี้ จะไม่มีใครการันตีได้แน่นอนว่า มันส่งผ่านไปยังสมองส่วนที่เราไม่รู้ตัวแล้วหรือยังครับ อย่างไรก็ดี เมื่อคุณหยุดคิดแล้ว ก็ขอให้ลองอยู่ในสภาวะที่สงบหรือ ทำอะไรที่ไม่ต้องการสมาธิมาก เช่น การปลูกต้นไม้ นั่งถ่ายในห้องน้ำ (อันนี้คนที่คิดอะไรใหม่ๆออกมันจะถ่ายอยู่ครับเป็นเรื่องปกติครับ คุณไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเค้าเลยแม้แต่น้อยถ้าหากว่าคุณว่าคุณต้องไปนั่งในห้องน้ำเพื่อถ่ายและจะปิ๊งไอเดียออกมา) กิจกรรมนั้นๆควรจะต้องทำให้คุณมีคลื่นความถี่สมองที่นิ่งต่ำ ไม่วิ่งวี๊ดวือไปไหนต่อไหน หรือทำแล้วเป็นสุขทางสมองนั่นเอง ถ้าหากว่าุุคุณไม่ได้มีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษที่จะทำให้คุณสงบ หรือไม่ได้คิดอะไรแล้วล่ะก็ ยังไงเสีย “คุณก็ต้องถ่ายอยู่ดี” เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าหากว่าคุณอยากจะให้มี จังหวะของการคิดออกให้มากขึ้นก็ไปนั่งถ่ายให้มากครั้งขึ้น (จะมีวิธีการอยู่แต่ผมจะไม่เอามาเกริ่นปนกับเรื่องนี้) หรือง่ายๆก็นั่งให้นานขึ้นก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน การถ่ายนั้น ถ้าคุณลองสังเกตดีๆแล้ว เมื่อตอนที่เบ่งสุดปลายแท่งอุจาระ หรือมีการขับกากอาหารออกจากร่างกาย โดยการเค้นลำไส้ใหญ่ดันของเสียออกจากร่างกาย ร่างกายจะส่งสัญญาณที่ “เป็นสุข” ทางกายออกมาให้สมองรับทราบเพื่อเป็นการบ่งบอกว่า ภารกิจของคุณเสร็จสิ้นแล้ว และความรู้สึกเป็นสุขนั้นเป็นผลตอบแทนเล็กๆน้อยๆสำหรับสภาวะที่ร่างกายได้ขับถ่ายนั่นเองครับ
ขั้นตอนที่สี่ : จังหวะยูเรก้าจะโผล่ออกมาเอง ไอเดียกระฉูด
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เรานั้นปรารถนาในการสร้างสรรไอเดียใหม่ และมันจะตอบโจทย์ ในแนวคิดที่เราเองในสภาวการณ์คิดแบบรู้สำนึกทำไม่ได้ ถ้าหากว่าคุณทำตามขั้นตอนที่ผมว่ามาทั้งหมด โอกาสที่คุณจะมีไอเดียหลุดออกมานั้นจะออกมาเองอย่างควบคุมไม่ได้ แต่อย่าได้ลำพองใจหรือดีใจไปว่า กูเก่ง กูแน่ ! เพราะอย่างที่ผมบอก เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ธรรมดาที่สุด ที่มนุษย์ชาติกระทำมานานแล้ว และ ทำให้มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นรอบตัวเรามากมายจากหลากหลายไอเดียแปลกใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น ! แต่คุณก็จงดีใจไปกับความคิดเด็ดๆที่คุณคิดอออกและทำตามขั้นตอนต่อไปทันที
ขั้นตอนที่ห้า : ทำการจดบันทึกโดยทันที
เมื่อคุณคิดออกแล้ว แน่นอนว่า ความคิดหรือไอเดียนั้นเหมือนหลั่งไหลมาจากสวรรค์ หรือมาจากผีบอก ก็สุดแล้วแต่จะคิด (แต่ว่าแท้ที่จริงแล้วก็เป็นแค่สมองส่วนไร้สำนึกทำงานแทนเท่านั้นเอง) ความคิดไอเดียแบบใหม่ๆนั้น คุณจะลืมมันได้โดยง่าย เพราะ มันไม่ได้เป็นไปตามตรรกะหรือแนวคิด ประสบการณ์พื้นฐานปกติในส่วนรู้สึกนึกของคุณเลย เมื่อคุณคิดออก เป็นไปได้มากว่า ถ้าหากว่าคุณไม่ได้คิดซ้ำไปซ้ำมาเยอะรอบเพื่อบันทึกแนวคิดนั้น ให้สมองเชื่อมต่อรอยเส้นประสาทเพื่อบันทึกเอาไว้ให้แน่นหนาแล้วล่ะก็ … สมองส่วนความจำมีสำนึกนั้นจะลืมมันไปได้ง่ายๆ แล้ว มันก็จะคิดกลับมาได้ยากอีกต่างหาก (ก็อย่างว่าล่ะครับ ไอเดียใหม่ๆแปลกเยอะแยะจะขัดกับ logic ทางความคิดปกติหรือสมมุติฐานทางความคิดปกติของคุณนั่นเอง) และสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ “จดมันด่วน!” เพื่อที่จะไปเอาความคิดนั้นไปต่อยอด ทดสอบทดลองหรือปฏิบัติ ประชุม เผยแพร่ความคิด เพื่อให้คุณไม่ลืมนั่นเอง (เพราะการเผยแพร่ความคิดจะทำให้คนอื่น รับรู้ได้โดยสมองส่วนมีสำนึกนั่นเอง ก็จะลืมยากกว่าครับ แต่ว่าแน่นอนว่าจดเอาไว้เป็นดีที่สุด)
ทั้งนี้ขั้นตอนที่ผมว่าเป็นการคิดเพื่อให้แนวคิดแบบยูเรก้า อลังการงานสร้าง แล้วก็ตัวคุณเองก็แทบจะต้องตกตะลึงว่า ตัวคุณเองคิดออกมาได้อย่างไรกันเนี่ยะ มันสุดยอดที่สุด อะไรทำนองนี้ซึ่ง นั่นเป็นการคิดแบบ “single player” หรือ “เล่นคิดเอาคนเดียว” จริงๆแล้ว ยังมีอีกวิธีก็คือ “การให้คนอื่นคิดให้ ในฐานะคุณ” ซึ่งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ถ้าหากว่า คุณทำงานแบบองค์กรสามารถที่จะใช้ได้เหมือนกัน นั่นก็คือ การประชุมถามคนอื่นว่า “ถ้าหากว่าคุณเจอโจทย์แบบนี้ คุณจะคิดว่ายังไง?”
การให้คนอื่นคิดแทนตนเองแบบถ้าคุณเป็นผม คุณจะทำอย่างไร !? แบบนี้จะทำให้เปิดแนวคิดที่กว้างกว่าเดิมมาก เพราะ คนคิดเป็นคนอื่นที่ไม่ได้เป็นตัวคุณ ที่ไม่ได้ได้รับเรื่องหรือปัญหานั้นๆตรงๆ หรือ อาจจะมีการ combine หรือเอาประสบการณ์ประมวลความคิดที่แตกต่างจาก Logic ที่คุณคิดอยู่ ทำให้ได้คำตอบที่แตกต่าง หรือ ไอเดีย หรือ solution ที่ไม่เหมือนที่คุณคิดได้ และเหตุนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ในโลกเรามีอาชีพที่เรียกว่า Consultant หรือตำแหน่งงานที่ปรึกษานั่นเอง เพราะ องค์กรหรือ บริษัท ต้องการแค่ความคิด หรือมุมมอง จากผู้เล่นที่ไม่ได้อยู่ในสนามจริง หรือไม่ต้องเห็นภาพทั้งหมด (แปลกดีอย่างที่ว่าบริษัทจะจ่ายเงินเพื่อคุยกับคนที่ไม่ได้รู้ข้อมูลทั้งหมดครบถ้วน แต่ดูเหมือนว่าเค้าคนนั้นจะเป็นที่พึ่งให้เราได้)
แต่ก่อนที่คุณจะต้องจ้างที่ปรึกษากันจริงๆจังๆ แนะนำว่า ถ้าหากว่าเป็นแค่เรื่องทั่วไป หรือเรื่องที่คุณคิดว่าไม่ได้จำเป็นต้องลงทุนอะไรแม้แต่น้อย (หรือเรื่องที่ไม่มีคนจะให้คุณปรึกษาได้เลย เพราะว่า ดันโชคไม่ดีมีแต่องค์กรคุณ หรือตัวคุณเองที่จะรู้ ถ้าหากว่าจะให้คนอื่นรู้เรื่องต้องเล่ากันยาว ก็อาจจะปรึกษาคนอื่นลำบากหน่อย) ก็ให้คุยกันเองกับทีมงานนั่นล่ะครับ เพราะ ส่วนมากแล้ว แค่เท่านี้ก็ได้ไอเดียหรือข้อมูลที่น่าจะเพียงพอต่อการจัดการ แก้ปัญหา เกือบจะทั้งหมดแล้วล่ะครับ และถ้าหากว่าคุณมีอำนาจเพื่อที่จะเรียกประชุมแบบไม่มีประเด็นมากมายนัก หรือจะเรียกว่า ประชุมเพื่อระดมสมอง คุณสามารถคุยมั่วอ้อมโลกเพื่อให้เกิดความคิดใหม่ได้เช่นเดียวกัน
การคุยมั่วหรืออ้อมโลก ก็เป็นอีกวิธีการเพื่อให้ได้ไอเดียจากการสมทนากลุ่มซึ่งมักจะใช้ในการประชุม ที่ไม่ได้เป็น agenda แน่นอน คือไม่ได้มีประเด็นอะไรเท่าไหร่ที่จะประชุมกัน แค่อยากให้เห็นหน้าเห็นตา และ ร่วมกันคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งร่วมกันเท่านั้น เนื่องด้วยเรื่องดังกล่าว จำเป็นต้องการประสบการณ์ในหลายมิติ หรือ คิดคนเดียวคิดไม่ออกแล้ว นั่นเอง ก็ต้องให้คนอื่นช่วยว่าง่ายๆก็เป็นอย่างงั้นล่ะครับ วิธีการดังกล่าว นี้จะไม่ได้เจอไอเดียแบบยูเรก้ามากนัก แต่ถ้าหากว่า คุณทำให้คนอื่น ครุ่นคิดได้ ก็อาจจะได้แนวคิดแบบยูเรก้าก็ได้เช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องมีการติดตามว่าใครจะคิดอะไรออกหรือไม่ แล้ว เค้าก็ต้องจดกลับมา เพื่อคุยกับคุณอีก ซึ่งถ้าหากว่า คนๆนั้นทำไดอย่างที่ผมว่านี่แสดงว่า เค้าก็คิดแทนคุณได้ดีทีเดียว และ มีความรับผิดชอบงาน(ของคนอื่น)ได้ด้วย ไม่ธรรมดาน่ะครับ
ประเด็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับการคิดเพื่อให้ได้ไอเดียยูเรก้า
ถ้าหากว่าคุณคาดหวังให้ทีมบริหารคิดไอเดียเด็ดๆออกแล้วล่ะก็ ผมแนะนำว่า คนที่คุณอยากจะให้เค้าคิดออกมาเป็นตุเป็นจะได้ก็ต้องมีเวลาว่างหรือเวลาที่เป็น happy hour เยอะอยู่ระดับนึง เพราะ ถ้าหากว่าเค้าคนนั้นมัวแต่ทำงานอื่นๆที่ค้างๆ หรือ ทำงานประจำ ผู้บริหารคนนั้นก็จะคิดไม่ออกหรอก เพราะ เค้าอาจจะแค่รับฟัง แต่ไม่ได้ครุ่นคิด หรือครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้หยุดคิด หรือหยุดคิดแต่ก็ไม่ได้สงบนิ่งแบบ happy time ครับ (กล่าวคือขาดอย่างใดอย่างหนึ่งของจขั้นตอนที่ผมว่าน่ะหละ) คุณในฐานะที่จะจ่ายงานเพื่อให้คิดนั้น คุณจะต้องลดวาไรตี้ของงานหรือ project ลงจนเกือบเหลือแค่โปรเจคเดียวเพื่อให้คนๆนั้นมีสมาธิกับเรื่องนั้นๆได้อย่างจริงจัง หรือ คุณอาจจะกระจายโปรเจคให้กับ “กลุ่มคน” เพื่อให้เกิดการถามกันเองก็อาจจะได้ไอเดียขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน
ยังไงซะ สำหรับการคิดแบบคนเดียวนั้นไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมาย แค่ผมอยากจะเล่าข้อสังเกตของการเกิดไอเดียแบบยูเรก้าให้คุณได้ลองคิดดูว่า มันเป็นอย่างงั้นหรือเปล่าเท่านั้นเองล่ะครับ แล้วถ้าหากว่าคุณอยากจะคิดไอเดีย แก้ปัญหาอะไรใหม่ๆได้ด้วยแนวทางอะไรที่แปลกใหม่แล้วล่ะก็ ลองทำตามขั้นตอนนี้ก็คิดว่าคุ้มอยู่ถ้าหากว่าคุณคิด ไอเดียเจ๋งๆนั้นออกครับ ขอให้คิดออกแล้วกันนะครับ
คำค้นหาของคุณที่มาเจอหน้าเว็ปนี้:
- ประวัติถ้วยยูเรก้า
- ประวัติ ถ้วย ยู เร ก้า
- คิดแปลกใหม่
- คิดออก
- ถ้วย ยู เร กา คือ