คุณได้อ่านเนื้อความนี้ก็เพราะว่า คุณกำลังมองหาสูตรการลดน้ำหนักของปี 2022 อยู่หรือเปล่า ถ้าหากว่าใช่นี่ คือ เนื้อหาที่คุณกำลังตามหา และ ขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่า การลดน้ำหนักด้วยวิธีการนี้ไม่เสียเงินเพิ่มเลยแม้แต่น้อย กลับทางกันมันจะทำให้คุณประหยัดเงินลงไปได้ด้วยซ้ำ แต่ก็… เสียโอกาสการกินอาหารอร่อยที่เราอยากจะกินลงไปบ้างเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง ขอให้คุณเข้าใจเสียก่อนว่า การลดน้ำหนักนี้ จะเป็นการกระทำเพื่อลดน้ำหนักแบบหวังผลแล้วน้ำหนักยังคงให้ต่ำเอาไว้แบบนั้น โดยที่น้ำหนักจะไม่กลับขึ้นมาอีกแล้ว
ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญในการลดน้ำหนักแบบที่กำลังบอกอยู่นี้จะเกี่ยวกับความคิดหรือความรู้ที่คุณจำเป็นต้องรู้และต้องยังล้างความคิดเก่าๆออกไปเลยในหลายๆเรื่อง … เอาล่ะ มาดูกันดีกว่า ว่า คุณต้องปรับความรู้เรื่องอาหารการกินอะไรบ้าง เพื่อการลดน้ำหนักครั้งนี้จะเป็นการลดน้ำหนักที่ได้ผลจริงๆแบบที่คุณอยากจะทำให้ได้สำเร็จในปีนี้กัน
การลดน้ำหนักทำให้เราเร่งโอกาสการตายได้อย่างมีนัยสำคัญ
ถ้าหากว่าคุณน้ำหนักเกินหรืออ้วนเกิน แปลว่า โอกาสที่คุณจะเป็นโรคเยอะแยะมากมายนั้นจะมีมากกว่าคนที่ผอมอย่างช่วยไม่ได้ เพราะ ร่างกายเราไม่ได้รับการออกแบบมาเพื่ออ้วนนั่นเอง … นี่ไม่ได้เป็นการบูลลี่อะไรหรอกนะ เพราะ สถิติมันก็บอกกันอยู่แล้วทนโถ่ ไม่เห็นต้องมากดดันอะไรเลยใช่มั้ยล่ะ …. ก็… ใช่แหละ มันเป็นเรื่องที่คุณรู้อยู่แล้ว และ อยากจะบอกเอาไว้ว่า หากคุณไม่ผอมตอนนี้ แปลว่า ทุกวันที่ผ่านไปของคุณ โอกาสการตายและ เวลาในการตายโดยเฉลี่ยจะหดสั้นลงมา อย่างน้อยมันก็ทำให้เกิดอัตราเร่งเวลา(ตาย)เป็นสามเท่ากันเลยทีเดียว เช่น หากคุณเดาว่า คุณเองน่าจะตายอายุ 60 ปี ก็ให้คิดว่ามันเร่งความเร็วเป็นสามเท่าจากตัวเต็มวัย ณ อายุที่ 20 ปี ก็คือ 60-20 = 40 ปี แล้วก็เอา 40 ไปหารออกด้วยสามมันก็จะได้เท่ากับ 13.3 ปี แปลว่า หากคุณมีพฤติกรรมปกติที่จะต้องตายตอน 60 ปี แต่หากคุณอ้วนคุณก็น่าจะตายเฉลี่ยตอน 33.3 ปีบวกลบสิบปี แทนที่จะเป็น 60 ปีบวกลบสิบปี อะไรทำนองนั้น
ฟังดูเหมือนว่าเป็นเรื่องไร้สาระว่าความอ้วนผอม มันเป็นตัวกำหนดเร่งเวลาตายจากโรคกันได้มากแบบนี้เลยเหรอ? คำตอบคือ “ใช่แล้ว” แต่อย่างว่า เราเดาไม่ออกหรอกว่า เราน่าจะตายอายุ 60 ปีหรือเปล่า ทำให้ค่าเหล่านี้ไม่แน่นอน แต่ขอให้รู้เอาไว้เลยว่า.. หากคุณมีโลกคู่ขนานอยู่สองเวอร์ชั่นด้วยกัน คือ คุณในเวอร์ชั่นผอม และ คุณเองอีกคนหนึ่งในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่”อ้วน” อายุขัยเฉลี่ยมันจะเร่งตายไม่เท่ากัน มีโอกาสน้อยเอามากๆ ที่คุณในเวอร์ชั่นผอมจะตายจากโรคไม่ติดต่อ ก่อน ตัวคุณเองในเวอร์ชั่นอ้วนได้
ถ้าหากว่า ไม่อยากจะตายไวในภพชาตินี้ การทำให้ตัวเองผอม นั้นถือว่าเป็นการสร้างโอกาสอยู่รอดให้นานขึ้น ให้มันมีมีระยะเวลาชีวิต (Life Span) กลับมาระยะเวลายาวแบบปกติ
การลดน้ำหนักนั้น แท้จริงแล้ว มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย สำหรับคนที่ไม่เคยทำได้ ก็ต้องบอกเอาไว้เลยว่า คุณแค่รู้น้อยเกินไป หรือ รู้ในสิ่งที่ผิดมาทั้งชีวิตต่างหากล่ะ ทำให้คุณลดน้ำหนักไม่ได้ แต่ คุณกำลังจะได้อ่านเนื้อความนี้แล้ว และ มันจะทำให้คุณเห็นผิดเป็นถูก เข้าใจผิดให้เป็นเข้าใจถูก และ การลดน้ำหนักก็จะทำได้อย่างง่ายดายเหมือนกับไม่ได้ออกแรงอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ การลดน้ำหนักจากความรู้แท้ ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว ด้วยประสบการณ์ส่วนตัว และ การแนะนำให้กับบุคคลรอบตัวเข้าใจถูก
และ นี่ก็เป็นโอกาสของคุณแล้ว ที่คุณจะได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน…
เชื่อหรือเปล่าล่ะ กับแค่การตื่นรู้เกี่ยวกับความจริงของอาหารก็จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้แล้ว
ไม่มีคนไหนอยากจะตายไวหรอก คนเรามีสัญชาติญาณการไม่อยากจะตายอยู่แล้วเป็นปกติ เหมือนกับที่มีความต้องการการสืบพันธ์อะไรแบบนั้นเลยแหละ มันเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตในภพภูมินี้ปกติสามัญทั่วไป (ภพอื่นๆมีสัญชาติญาณพื้นฐานอะไรก็ไม่อาจจะไปรู้มันได้)
ดังนั้นแล้ว เหตุผลที่คุณอ้วนนั้นก็ เพราะว่า ร่างกายของคุณไม่ต้องการตาย และ ร่างกายที่เป็นกายหยาบที่คุณสิงสู่หรือรับรู้ว่าเป็นตัวคุณเองนี้ กำลังเข้าใจผิดในหลายเรื่องหลายราว และ มันกำลังคิดว่าคุณกำลังจะอดตายต่างหาก มันก็เลยเอาพลังงานเป็นไขมันเอาไปสะสมในร่างกายส่วนต่างๆ เพื่อประทังชีวิตในโลกที่อุดมด้วยไปอาหารแบบนี้ แต่จริงๆ แล้ว คุณรู้หรือเปล่าล่ะ ว่า แท้จริงแล้ว ร่างกายมันก็เข้าใจผิดเหมือนกับคุณเช่นเดียวกัน
แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องเข้าใจให้ถูกต้องกันแน่เหรอ!? มีประเด็นดังต่อไปนี้
- ต้องบอกร่างกายว่า พลังงานไม่ต้องเก็บเป็นไขมันก็ได้ใช้ๆออกไปให้หมดซะ
- ต้องบอกร่างกายว่า เรากำลังได้รับพลังงานประเภทไขมันและโปรตีนเกือบทั้งหมด โดยปริมาณแป้งและน้ำตาลน้อยเอามากๆ ดังนั้นให้เอาไขมันมาใช้เป็นพลังงานซะ ไม่ต้องไปสะสมมัน
- ต้องบอกร่างกายของคุณว่า เราสามารถกินอาหารเมื่อใดก็ได้ และ เราจะเป็นคนกำหนดเองว่าเราจะกินเวลาใด เมื่อใดก็ได้.. ดังนั้นแล้วไม่ต้องหิวเป็นเวลา
เอาล่ะ… ทั้งสามประเด็นที่ว่าเป็นประเด็นที่เราจะบอกร่างกายของเราเองให้เข้าใจถูกต้องหากร่างกายเข้าใจได้ตามนี้แล้ว “คุณก็จะผอม” แบบไม่ต้องทำอะไรเลยก็ว่าได้ ทีนี้ มาว่ากันดีกว่าว่า เราจะสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ให้กับกายชีวภาพของเราได้ด้วยวิธีการไหนได้กันนะ ?
ก่อนที่จะบอกร่างกายได้ตามที่เราต้องการ คุณจะต้องรู้สิ่งที่ถูกต้องในประเด็นต่อไปนี้เสียก่อน
- ปีรามิดอาหารที่คุณเคยเรียนตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้เป็นสิ่งที่ผิดและมันเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่คร่าชีวิตผู้คนบนโลกนี้มาแล้วนับล้านคนอย่างไร้ความปรานี ดังนั้นแล้ว น้ำตาลและแป้งไม่ใช่อาหารหลักในการบริโภค
- อาหารแปรรูปใดๆที่จำหน่ายกันอยู่ตอนนี้มีอันตรายสำหรับการบริโภคอย่างช่วยไม่ได้
- ไขมันไม่ได้เป็นสิ่งต้องหลีกเลี่ยง และ คลอเลสเตอรอลก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับสุขภาพของคุณได้เลยแม้แต่น้อยด้วยความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ (ที่ใหม่กว่าที่คุณเคยรู้อยู่ในเวลานี้)
- คุณไม่ควรกินอาหารสามมื้อ อย่างน้อยคุณควรลดมื้ออาหาร ให้เป็นสองมื้อหรือจะให้ดีกว่านั้นก็เหลือเพียงหนึ่งมื้อไปเลย และ คุณเองก็ทำได้ เป็นเรื่องปกติ มันไม่ได้เป็นเรื่องของพระสงฆ์องค์เจ้าหรอกที่กินกันแบบนั้น คนปกติธรรมดานั่นแหละ ที่ต้องทานกันแค่นี้ เพราะ การกินสามมื้อเป็นสิ่งที่เกินจำเป็น และ มีไว้สำหรับระบบแรงงานทาสที่รับค่าแรงขั้นต่ำที่คิดรายได้เป็นรายชั่วโมงในยุคอุตสาหกรรมเท่านั้น (ซึ่งมันเลยมาแล้วกว่าร้อยปีที่ผ่านมา)
และนี่คือทั้งหมดที่คุณต้องรู้อย่างแท้จริง และ มันพลิกความรู้เกี่ยวกับการกินแบบเดิมๆของคุณแบบหันมือเป็นหลังเท้ากันเลยก็ว่าได้ แล้วสิ่งเหล่านี้ แพทย์แผนปัจจุบันเพียงบางกลุ่ม(ส่วนน้อย) เท่านั้นที่เริ่มเห็นและเริ่มรู้แล้ว และ มีการแนะนำให้กับคนที่ต้องการลดน้ำหนักกันแล้ว แต่แพทย์ส่วนใหญ่ ก็จะยังไม่รู้ และ ยังไม่เลือกที่จะแนะนำอะไรแบบนี้ให้กับคนที่จำเป็นต้องลดน้ำหนัก อ่อ ใช่แล้วล่ะ คุณอาจจะต้องรู้ด้วยแหละว่า ตอนนี้ โรคเบาหวานประเภทที่สองเป็นโรคที่เป็นแล้วหายได้ ไม่ต้องทานยาเพื่อประคองอาการไปเรื่อยอีกแล้ว และ โรคเบาหวานประเภทที่สองเป็นโรคที่ตรงไปตรงมาเมื่อคุณเข้าใจถูกในประเด็นที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ โดยความเชื่อเดิมของการเป็นโรคเบาหวานคือมันหายไม่ได้ และ นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดถนัดแล้วสำหรับความรู้ปัจจุบันในปี 2022 นี้
ปีรามิดอาหารตอนที่คุณเรียนสุขศึกษาตอนเด็กๆมันผิดถนัด
ระบบปีรามิดอาหารกำลังบอกคนทุกคนที่เรียนสุขศึกษาในระบบการศึกษาแบบอเมริกัน และ ประเทศไทยเองก็ก็อปปี้แนวคิดนี้มาสอนให้กับเด็กๆในโรงเรียน ซึ่งคุณเองก็มีโอกาสได้รับรู้เรื่องปีรามิดอาหารนี้ระหว่างที่คุณเองไม่มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่รู้รับ หรือแม้กระทั่งไม่มีโอกาสในการค้นหาความรู้หรือสงสัยในเรื่องราวเหล่านี้ได้เลยแม้แต่น้อย (สมัยก่อนเด็กๆไม่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตเท่าใดนัก) เรียกได้ว่า เขาสอนอะไรมาก็ต้องเชื่อไปตามนั้น มันพิสูจน์ได้ยาก กว่ามันจะเห็นผลก็ต้องรอให้ตัวเองโตขึ้นมาเสียก่อน และได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการกินอาหารตามปีรามิดอาหารแบบนี้มาแล้วมาเป็นเวลากว่าสิบๆปีขึ้นไป หลังจากที่คุณเป็นมนุษย์ตัวเต็มวัยแล้วเท่านั้น
ตอนเด็กๆ คุณจะกินอะไรยังไงก็ได้ ถ้าหากว่าอาหารการกินที่คุณบริโภคเข้าไปมันไม่ได้สุดโต่งเกินไปนัก ร่างกายเด็กมันจะแปลงเป็นพลังงาน เอาไปเผา เอาไปใช้วิ่งเล่น และ เอาไปเติบโตได้สะดวกมากกว่าร่างของผู้ใหญ่ แต่ในทางกลับกัน เมื่อคุณเป็นมนุษย์วัยเจริญพันธุ์แล้ว เราไม่ได้ต้องการการเติบโตอีกแล้ว เราเพียงแค่ต้องการซ่อมแซมร่างกาย โดยการสร้างเซลล์ใหม่ เอาเซลล์เก่ามาซ่อม หรือว่ากำจัดมันออก แล้วทำให้ชีวิตรอดไปวันๆเพื่อการสืยพันธุ์เท่านั้นเอง และ กิจกรรมการบริโภคนั้นเพื่อให้มีพลังงานเพียงพอสำหรับการที่จะผลักดันจิตมนุษย์ปุถุชนทั่วไปให้ไปเสพกามเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป แล้วสุ่มตัวเลขชุดโครโมโซม เพื่อพัฒนาเผ่ามนุษย์ชุดใหม่ที่ทนต่อสภาพอากาศและโรคมากขึ้นในแต่ละรุ่นของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นี้
หากคุณยังคิดไม่ออกว่าปีรามิดอาหารมันส่งผลยังไงกับคุณให้มองไปที่ จานอาหารกลางวันของคุณดูสิ ! คุณจะเห็นได้ว่า หมวดอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลจะมี น้ำหนัก มากที่สุดแล้วก็ลดหลั่นลงไปเรื่อยๆ โดยไขมันและเนื้อสัตว์กลับอยู่ชั้นบนๆของยอดปีรามิด ซึ่งหมายความเป็นนัยว่า ให้กินอาหารหมวดนี้ปริมาณน้ำหนักให้น้อยกว่าแป้งและน้ำตาล ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่า ทำให้คนเกือบทั้งประเภทอ้วน ! หากบริโภคตามการแนะนำจากภาพปีรามิดอาหารแบบนี้ แม้กระทั่งตัวคุณเองก็ทำตามปีรามิดอาหารนี้โดยที่ไม่ได้ฉุกคิดอะไรเลยแม้แต่น้อย มองไปที่จานข้าวราดแกงของคุณดูสิ ว่ามีอะไรมากที่สุด ?? ใช่แล้วก็ข้าวยังไงล่ะ แล้วที่เหลือล่ะ มันก็คือ เนื้อซากสัตว์ปริมาณเล็กน้อยที่โปะมาด้วย และ ผัดผักอีกกระหย่อมนึงก็เท่านั้น ลองฉายภาพทามไลน์ต่อไปอีกสักหน่อย อะไรที่อยู่หลังมื้ออาหารนี้กันล่ะ มันอาจจะเป็นกล้วยบวชชี หรือไม่ก็ไอติมแท่งสักอัน แย่กว่านั้นก็น้ำชานมไข่มุกอะไรแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ แล้วมันอยู่หมวดไหนกันล่ะ คิดซิคิด … ใช่แล้ว มันก็อยู่หมวดแป้งและน้ำตาลอีกนั่นแหละ ดูสิว่า หมวดนี้ มันปริมาณมากกว่าปลายยอดเป็นไหนๆ หรือ คุณคิดว่า คุณจะกินผลไม้อย่างงั้นเหรอ ก็อีกแหละว่า มันก็คือ หมวดแป้งและน้ำตาลเหมือนเดิม แต่ดีหน่อยที่มันมีแร่ธาตุวิตามินอื่นๆที่มีมากับผลไม้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทั้งหลายทั้งปวงมันก็คือน้ำตาลประเภทฟรุคโตสอยู่ดีนั่นเอง และ ทั้งหมดนี้ มันก็แสดงให้ได้ชัดแจ้งว่า หมวดแป้งและน้ำตาล สำหรับการบริโภคอาหารปกติแบบคนที่ได้รับการศึกษามาด้วยวิถีคนเมืองรุ่นใหม่ มันแทบเป็นแบบนี้กันทั้งหมดเลยก็ว่าได้ … แล้วทั้งหมดนี้ถือว่ามันผิดเป็นอย่างมหันต์ผิดแบบที่ไม่สามารถให้อภัยได้ และ มันเป็นเหตุที่ทำให้คนตายมาแล้วนับล้านคนทั่วโลก และยังคงคร่าชีวิตต่อไปเรื่อยๆแบบที่ไม่สามารถจับมือใครดมได้เลย
สิ่งที่คุณต้องเข้าใจให้ถูกต้องคือให้กินอาหารแบบปีรามิดกลับหัวมันซะ! โดยหมวดแป้งและน้ำตาลจะต้องน้อยที่สุดเป็นยอดฐานของปีรามิด และ ไขมันและเนื้อสัตว์หรือแหล่งโปรตีนอื่นๆ จะต้องอยู่ด้านล่างสุดแทนในปริมาณที่มาก โดยน้ำหนัก มันต้องสลับปริมาณกันระหว่าง “กลุ่มแป้งน้ำตาล” และ “กลุ่มไขมันกับโปรตีน”
คุณอยากรู้มั้ยล่ะว่าทำไมต้องกลับหัวปีรามิดในการบริโภคอาหารกันนะ ?
แน่นอนว่าหากคุณเชื่อไปเลย แบบที่คุณเคยเชื่อตอนที่โดนเนื้อหาจากสุขศึกษาแบบโบราณยัดเข้าสมอง คุณก็ไม่ต้องอ่านย่อหน้านี้ก็ได้ แต่หากคุณกำลังอ่านมันแล้วก็แสดงว่า คุณอยากจะหาเหตุผลเพื่อกล่อมตัวเองให้เชื่อเสียหน่อยว่า ทำไมฉันต้องมากลับหัวปีรามิดอาหารกันด้วย แล้ว การกลับหัวมันจะทำให้อายุเฉลี่ยฉันกลับเป็นปกติได้อย่างงั้นเหรอ เอาล่ะ หากคุณอยากรู้ เราก็ยินดีที่จะเล่าแบบย่อๆให้ฟังได้
ไขมันถูกสะสมด้วยจากแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก ไม่ใช่กินไขมันแล้วจะสะสมไขมันแบบที่คุณคิดเอาง่ายๆแบบนั้น แป้งและน้ำตาลมันถูกแปลงเป็นพลังงานและไขมันได้ง่ายกว่า โดยที่ร่างกายไม่ต้องออกแรงในการย่อยแยกร่างมันนัก ฟังดูเหมือนว่าจะดีนี่หน่าหากว่ามันออกแรงน้อยในการแปลงสภาพ มันเป็นพลังงานได้ก็ดีจังนี่ … แต่หากคุณลองคิดดีๆ ากที่ร่างกายไม่ต้องออกแรงมากเท่าไหร่นักในการแปลงให้มันเป็นพลังงาน ก็แปลว่าไขมันที่คุณสะสมอยู่ก็ไม่ได้ถูกเอามาใช้น่ะสิ! ก็เอาพลังงานแป้งและน้ำตาลตรงหน้ามาใช้มันไปเลยก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องไปปรับโหมดร่างกายเพื่อไปดึงไขมันมาเผาเป็นพลังงานเลย จริงมั้ยล่ะ ! แต่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งที่เราต้องการ กลับทางกัน เราต้องการให้ร่างกายนั้นเคยชิน และ เลือกที่จะใช้ไขมันเป็นพลังงานเพื่อตัวคุณจะได้ผอมลงมาจากปริมาณไขมันที่ลดลงทั่วทั้งร่างกาย แทนการใช้พลังงานเกรดต่ำจากแป้งและน้ำตาลที่อยู่ตรงหน้า
การดึงเอาพลังงานมาใช้มันเหมือนกับเป็น “ระบบโหมด” ในการดังพลังงาน หากว่าร่างกายตอนนั้นเลือกดึงแป้งและน้ำตาลมาเป็นพลังงาน มันก็จะไม่ใช้ไขมันมาเป็นพลังงาน และ หากว่าร่างกายเลือกปรับโหมดมาดึงพลังงานจากไขมัน มันก็จะไม่เอาแป้งและน้ำตาลมาใช้เป็นพลังงานเช่นเดียวกัน แต่ร่างกายมันทำงานเป็นลำดับ โดยมีตรรกะในการจัดโหมดโดยเลือกทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้นประหยัดที่สุดเสียก่อน ก็คือ การแปลงพลังงานแป้งและน้ำตาลเพื่อเอาไปใช้เสียก่อน แล้วหากไม่เพียงพอถึงเลือกเข้าสู่โหมดการใช้พลังงานจากไขมันและโปรตีน ตามลำดับ
ทีนี้หากคุณยังคงกินแป้งและน้ำตาลตามปีรามิดอาหารแบบโบราณกาล คุณคิดหรือเปล่า ร่างกายคุณจะได้เข้าสู่โหมดการเผาไขมันเป็นพลังงาน เพราะ มันมีแป้งและน้ำตาลเหลือเฟือดาษดื่นแบบใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดไป ร่างกายหยาบมันจะปรับแนวคิดของมันให้เคยชินไปเลยว่า…โลกนี้เต็มไปด้วยอาหารประเภทแป้งและตาล ว้าว! สุดยอดจริงๆ เรามีชีวิตด้วยการกินอาหารแบบนี้ และ นี่มันก็สุดยอดเอามากๆเลย ฉันชอบมันสุดๆและฉันก็ออกแรงน้อยมากๆในการแปลงมาเป็นพลังงาน ว้าว ว้าว ว้าว! เอาล่ะ เจ้าจิตใจจง ขนขวายอาหารประเภทนี้เอาเข้าปากให้เพียงพอ เพราะ ฉันเผาพลังงานมันไปใช้ได้อย่างง่ายดายเอามากๆ และ เมื่อฉันต้องการพลังงาน ฉันจะไม่ไปใช้ไขมันหรอกนะ ฉันแค่บอกจิตใจไปแค่ว่า จงออกไปล่าก้อนโดนัทมาให้ฉันซะ! โดยการหลั่งสารเคมีเพื่อบอกจิตใจให้หิว เจ้าจิตใจก็จะออกไปล่า ข้าวขาวจานโตหรือไม่ก็โดนัทมายัดใส่ปากแล้วฉันก็จะย่อยมันเป็นพลังงานได้อย่างง่ายดายแล้วยังไงล่ะ ฮ่าาาาา ๆๆ (หัวเราะแบบจ้าวโลกที่ยึดครองโลกนี้ได้สำเร็จ)
แล้วก็นี่หากว่า คุณกินแป้งและน้ำตาลมากกว่าที่ร่างกายเกินจำเป็นแล้วมันก็จะเกิดปรากฏการณ์อย่างที่คุณเองก็รู้อยู่ คือ มันก็จะแปลงพลังงานส่วนเกินให้เป็นไขมันเพื่อนำไปจัดเก็บนำออกจากกระแสเลือดแล้วบีบอัดมันเป็นก้อนพลังงานที่ปริมาณพลังงานต่อน้ำหนักให้ประสิทธิภาพมากกว่าก็คือการเก็บในรูปของไขมันนั่นเอง และ นั่นก็ทำให้ “คุณอ้วนขึ้นเรื่อยๆ” แบบไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ ก็เพราะว่า ไขมันเก่าไม่ได้ถูกใช้ แล้วก็ยังได้รับไขมันใหม่ที่เพิ่งสร้างจากข้าวมันไก่ของเที่ยงวันเมื่อวานนี้อีกต่างหาก แล้วแบบนี้ฉะไหนฤา ที่น้ำหนักของกายหยาบของคุณเองมันจะลงมาได้กันเล่า
แต่แท้ที่จริงแล้ว เราต้องการให้ร่างกายเราได้รับการเทรนถูกฝึกหัดให้ใช้โหมดการดึงพลังงานจากไขมันเป็นหลักต่างแล้ว และ ปริมาณการใช้ไขมันจะต้องมากกว่าที่รับประทานเข้าไปให้มากๆ ทำให้ปริมาณการเผาใช้ไขมันมากกว่า ปริมาณที่คุณเพิ่งเติมเข้าไปในวันนี้ หากคุณทำแบบนี้ได้สักเดือนสองเดือน น้ำหนักมันจะลดลงเรื่อยๆในทุกสัปดาห์ที่คุณทำได้ โดยการบริโภคแบบกลับหัวปีรามิด แบบเห็นคาตากันเลยทีเดียว และ ขอบอกอีกครั้งว่า น้ำหนักเกือบทั้งหมดมันคือไขมันที่มันคาอยู่ในร่างกายคุณทั้งหมด ไขมันจะโดนใช้จากทุกส่วนทุกอณูไขมันที่มันแทรกอยู่ในกล้ามเนื้อ ร่างกายทุกส่วนอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ ขอให้จำเอาไว้ว่า น้ำหนักทั้งหมดที่ลดลงไปไม่ว่าจะเป็น สามสี่ขีด หรือ กิโลสองกิโล น้ำหนักเหล่านี้ล้วนเป็นไขมันเก่าในร่างกายทั้งแทบทั้งสิ้น!
สรุป : หากคุณอ่านบทความนี้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้ข้ามย่อหน้าใดเลยก็หวังว่า คุณน่าจะเริ่มเชื่อได้แล้วแหละว่า การกินนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเริ่มจากการกลับหัวปีรามิดอาหาร แต่อย่างไรก็ดีเนื้อหานี้ยาวเกินไปแล้วแต่ขอบอกเอาไว้เลยว่า การบริโภคอาหารแบบปีรามิดกลับหัวจะต้องกระทำร่วมด้วยกับการทำ intermittant fasting แล้วจะเห็นผลอย่างชัดเจน เพราะ ระยะเวลาการเว้นช่วงทานช่วงนั้นร่างกายจะปรับโหมดให้เป็นโหมดการเผาไขมันได้ยาวนานที่สุด แล้วการลดน้ำหนักก็จะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และ ไม่ได้ยากเกินไปเลยแม้แต่น้อย แค่เข้าใจให้ถูกต้องก็ถือว่าได้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพียงพอ สำหรับการลดความอ้วนในครั้งนี้แล้ว