อย่างที่คุณน่าจะรู้ดีกันอยู่แล้วตอนนี้ว่า คุณกำลังจะติดโควิด และ แม้ว่า คุณได้มีโอกาสติดโควิดไปแล้ว คุณก็จะโอกาสที่จะติดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีก ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ และ คนทีจะเป็นโควิดนั้นเหมือนว่ายังไงก็จะเลี่ยงไม่ได้ในสุดที่อยู่ดี ดังนั้นแล้ว เราจะกำลังต้องคิดว่า “เมื่อเราจะต้องติดโควิดแล้วเราจะทำให้มันไม่มีอาการหรือติดแล้ว ไร้อาการและไม่ให้มันมีผลกระทบต่อร่างกายเราแล้วจะต้องทำยังไง?”
นี่เป็นคำถามแบบสุดโต่งไปเสียหน่อย เพื่อลดโอกาสการเป็นอันตรายจากเชื้อโควิดลงให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และ ต่อให้ติดแล้วก็ต้องลดโอกาสการเป็น Long COVID ลงไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เช่นเดียวกัน
ทำไมคุณต้องไม่อยากจะเป็น Long Covid กันด้วยเหรอ ?
คุณรู้หรือเปล่า คุณนั้นเลี่ยงการติดโควิดไม่ได้แต่คุณเลี่ยงการเป็นอาการหนักจากการเป็นโควิด และ เลี่ยงหรือลดโอกาสการเป็นลองโควิดได้ จากการที่ทำให้คุณเป็นสุดยอดร่างกาย ในระยะเวลาอันสั้น และ จะต้องรักษาสภาพร่างกายแบบสุดยอดนี้เอาไว้ตลอดไปจนกว่าโควิดจะมียารักษาแบบเป็นแล้วกินยาหาย ซึ่ง เราก็ไม่สามารถที่คาดเดาได้หรอกว่า เมื่อใดยารักษาโรคโควิดนี้จะมีจำหน่ายในราคาประหยัด ถ้าหากว่าอยากเดาก็คาดเดาเอาว่าน่าจะอีกปี 2023 หรือกว่านั้นถึงมีได้ (แต่อะไรก็ไม่แน่ไม่นอนหรอกเพราะโควิดมาก็กลายพันธ์ไปเรื่อยๆด้วยเหมือนกัน)
อาการ Long Covid นั้น เหมือนกับอาการที่ร่างกายนั้นเกิดอาการอักเสบทั่วร่างแบบไร้ระบบที่แน่นอนว่าจะเป็นจำเพาะส่วนใดเป็นพิเศษหรือไม่ แต่หากสังเกตดีๆ มันจะเหมือนกับการอักเสบแบบที่ร่างกายเรากินน้ำตาลเช้าไป แบบเดียวกัน เกือบทั้งหมด หากดูลักษณะอาการแล้ว มันก็คือ การอักเสบแบบเดียวกับการกินน้ำตาล เช่น มันจะทำให้เราความจำด้อยลง และ มีโอกาสที่จะหลงลืมเรื่องราวได้มากขึ้น ระบบประสาทอ่อนด้อยลงจากการอักเสบ ทำให้มือเท้าชา เป็นต้น หอยเหนื่อยได้ง่าย มีอาการเพิ่มโอกาสการเป็นซึมเศร้าได้ มีโอกาสเกิดเป็นลิ่มเลือดได้มากกว่าคนปกติที่ไม่ได้ติดโควิดอยู่หลายเท่าตัว มีโอกาสเป็นเบาหวานมากขึ้น (ใช่แล้ว การติดโควิดแล้วมีโควิดเหลือในร่างเพื่อการอักเสบ จะทำให้คุณมีโอกาสเป็นเบาหวานมากขึ้นได้จริงๆ) หรือจะทำให้คุณมีโอกาสการเป็นโรค NCD ได้มากขึ้น ราวกับการกินน้ำตาล และเป็นโรคอ้วนยังไงก็อย่างงั้น ! เรียกได้ว่า อาการทั้งหลายนั้นคล้ายกับการเสพน้ำตาลเลยก็ว่าได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไม เราต้องพร้อมที่จะคิดโควิดและ หาทางแปลงร่างกายของคุณเอง เตรียมร่างให้พร้อมสำหรับการติดเชื้อโควิดอีกหลากระรอกเอามากๆ ในอีก 1-2 ปีนี้ และ การที่คุณเตรียมพร้อมได้นั้นก็คือ “การพัฒนาร่างกายให้ดียอดมากกว่าเดิม” ให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้ !
เราจะพัฒนาร่างกายเราเพื่อให้เป็นสุดยอดตัวต้านโควิดได้ยังไงล่ะ ?
สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจก่อนการแปลงร่างกายเพื่อให้พร้อมติดโควิดก็คือ การที่ทำให้ร่างกายมันสุขภาพดีจากภายใน โดยการกระทำออกมาเป็นสองส่วนหลัก คือ การพัฒนาระบบภูมิให้ดีมากๆ และ การป้องกันการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของเรา ด้วยการลดโอกาสการอักเสบใดๆในระดับเซลล์กันเลยก็ว่าได้ สองประเด็นนี้ อาจจะดูเหมือนว่าเป็นสิ่งเดียวกัน แต่มันมีการกระทำที่แตกต่างกันเอามากๆ เพราะพวกหนึ่งคือ การต้องทำอะไรและกิจกรรมอีกชุดก็คือ การเลี่ยงที่กระทำการอะไรนั่นเอง
ลดการอักเสบของร่างกายจากพฤติกรรมในชีวิตปกติของเราเอง
หากเราต้องการลดอาการอักเสบในสภาวการณ์ปกติที่เราเป็นอยู่นั้น คือ การเลือกที่จะไม่กินอะไรที่ทำให้เกิดการอักเสบได้ โดยมันจะกำหนดออกมาเป็นสองเรื่องใหญ่ด้วยกัน คือ เรื่องของแป้งและน้ำตาล (ถือเป็นเรื่องแรก) และ เรื่องที่สองคือ การลดการเลี่ยงอาหารประเภทที่เกิดการเมลลาร์ด (Maillard reaction on Food) ซึ่งทั้งสองเรื่องสองประเด็นเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นประเด็นเกี่ยวกับการเลือกไม่กินอาหารจะทำให้เราเอา แป้ง น้ำตาล และ สารที่ผ่านการเมลลาร์ดนี้ออกไปจากร่างกายก่อนที่มันจะเข้ามาทางปากของเราได้
เริ่มจากการเลิกการแป้งและน้ำตาลกันเสียก่อน !
ประเด็นนี้ ถือว่าเป็นเรื่องง่ายที่สุดแล้วสำหรับการป้องกันการอักเสบในร่างกาย การที่มีแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลไร้สาระแบบกินเข้าไปตรงๆนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่กระทำได้ง่ายเอามากๆ และ คนส่่วนมากเลือกที่จะไม่ทำมัน เพราะ เหตุผลคือ เขาเหล่านั้นได้เสพติดน้ำตาลเข้าไปแล้ว โดยหากคนไหนมีการกินน้ำตาลมากๆ แล้ว จะทำให้เลิกได้ยากและเรียกได้ว่า การค่อยๆลดปริมาณน้ำตาลลง นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย สิ่งที่แนะนำให้ทำ คือ “หักดิบน้ำตาล” โดยการไม่กินมันเสียเลยยังไงล่ะ
น้ำตาลเป็นสารเสพติดที่ถูกกฏหมาย แบบที่ได้รับการอนุญาตให้เอาเข้ามาผสมกับอาหารได้แบบอิสระ จะใส่มากน้อยแค่ไหนก็ได้ตามต้องการ และ ไม่ต้องสนหรอกว่าคนทีจะกินเข้าไปนั้นจะได้รับสารน้ำตาลนี้มากน้อยแค่ไหน เขา(คนกิน) จะเป็นตายร้ายีดสักเท่าไหร่ เพราะ คนที่ทำอาหารนั้นไม่ได้มีหน้าที่รักษาป้องกันสุขภาพของคนกินอะไรนัก หน้าที่ของเขามีเพียงอย่างเดียว คือ ทำอาหาร หรือเคร่ื่องดื่มอะไรก็สุดแล้วแต่ เพื่อทำให้มันขายได้และขายออก แล้วคนกลับมาซื้อซ้ำติดใจ อะไรประมารนั้น ทำให้เครื่องดื่มรสหวาน และ อาหารที่ใส่น้ำตาลนั้นมีมากในตลาด (อาหารที่ใส่น้ำตาลมันจะเรียกว่าขนมหวาน) คนที่ผลิตอาหารให้เราเลือกเอาเข้าปากนั้น เป็นคนที่ไม่ได้เห็นแก่ชีวิตเราอะไรหรอก เขาแค่อยากจะให้คุณรู้สึกว่าอาหารและเครื่องดื่มนั้นอร่อยล้ำ และ กลับมากินได้อีกมาก ๆ หรือตอนกินอยู่นั้นมีความสุขและอยากจะกลับมาซื้ออีกเรื่อยๆ เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ “กำไร” จากการขายอาหารเหล่านั้นต่อไปเท่าที่จะเป็นไปได้
ข้อแนะนำเพื่อให้คุณลดการกินน้ำตาลได้ ให้คุณรู้ว่า … คุณจะต้องเลิกกินอาหารที่ใส่น่้ำตาลเหล่านั้นทั้งหมดไปเสีย ไม่ว่าจะเป็นไอศครีมแบรนด์ใดๆ เครื่องดื่มที่มีพลังงานทุกประเภท เราไม่ได้สนหรอกว่า เค้าจะโฆษณาว่าดีต่อสุขภาพ เพราะ ถ้าหากว่าเขาแอบใส่น้ำตาลมา มันก็คือเครื่องดื่มที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพแล้วทันที แบบไม่ต้องทำสื่อตลาดอะไรออกมาบอกเราหรอก ลองเลิกกินเค้ก และ ขนมหวานทั้งหมดออกจากชีวิตได้แล้วตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่จะทำให้ร่างกายลดอาการอักเสบลงได้อย่างจริงจัง
ลดการกินแป้งให้น้อยลงน้อยขนาดที่เรียกได้ว่า เหลือแค่ 10% ของจากที่ปกติแล้วคุณกินอยู่ โดยบทความนี้ พยายามจะบอกให้คุณเหลือการกินอาหารแค่ 1 มื้อเท่านั้น (One Meal A Day) หรือย่อกันเองว่า OMAD จะทำให้คุณกินอาหารได้น้อยลงไปเหมือนกับเพียงประมาณ 40-45% จากเดิมที่คุณกินอยู่ และ แป้งนั้นจะน้อยลงไปมากๆ เพราะ ในมื้อเดียวที่คุณกินอาหาร แป้งที่คุณเห็นในวันนั้น ๆ หรือ ในมื้อเดียวนั้นแหละ มันจะมีเพียงประมาณ 10% ของปกติที่คุณกิน เพราะงั้นแล้ว การบริโภคแป้งกับอาหารเป็นมื้อของคุณจะเหลือเพียงไม่เกิน 4-4.5% จากของเดิม 100%เลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่า คุณจะกินแป้งแบบตั้งใจกินนั้นน้อยเอามากๆ หากเทียบกับการกินสามมื้อต่อวันและตักแป้งข้าวเข้าปากเป็นปกติ
กายหยาบของคุณจะมีการฟื้นตัวได้หากว่าคุณเว้นระยะเวลาการกินมากกว่า 16 ชั่วโมงแล้วกลับมากินอีกครั้ง หรือการกินอาหารมื้อเดียวต่อวัน
การทำแบบนี้ เรียกว่า intermittent fasting แต่การกำหนดให้กินเป็นเวลานั้นไม่ได้เป็นประเด็นเท่าไหร่สำหรับเนื้อหาวันนี้ เพราะ เรากำลังจะบอกว่า สุดขอบของการแปลงร่างเป็นร่างที่มีความต้านทานต่อโรคได้มากเป็นพิเศษมากๆจริงๆ แล้วก็คือ การที่คุณกินอาหารเหลือแค่มื้อเดียว เท่านั้น
อย่างที่คุณอาจจะยังไม่รู้หรอกว่า เมื่อร่างกาย เราไม่ได้พลังงานมากกว่า 16 ชั่วโมงต่อเนื่อง มันจะทำให้เกิดการหันไปกินพลังงานประเภทไขมันในร่างกายเราแทน และ เราไม่อยากจะให้ร่างกายนั้นอมไปด้วยไขมันสักเท่าไหร่นัก (แล้วเราก็ไม่ได้มีแป้งให้กับร่างกายเสียเท่าไหร่นักด้วยซิ) เมื่อเวลาการที่ไม่ได้กินอะไรเลยมากกว่านั้น จะทำให้ร่างกายหันเรื่องกลับมากินเซลล์ขยะในร่างกายเราเอง พวกเซลล์ผิดปกติ ผิดรูปนั้นจะโดนการย่อยกลับเพื่อแปลงกลับเป็นเซลล์ใหม่ได้ (กลับเป็นอาหารของเซลล์ดีๆที่กำลังหาอะไรกินกันเองในร่างกาย) โดยรวมแล้วกระบวนการนี้จะทำให้คุณมีความสามารถในการต้านทานโรคได้มากขึ้นกว่าเดิมมากๆ โรคในที่นี้กำลังบอกถึงระดับโรคที่ร้ายแรงเลยก็ว่าได้ก็คือเซลล์มะเร็ง!