สิ่งที่เราได้พบและรับรู้จากสถานการณ์โควิดสิบเก้า ณ ปี 2020

สถานการณ์โควิด 19 ประจำปี 2020

เมื่อเกิดเหตุการณ์โควิดสิบเก้าปรากฏว่า ผมเองนั้นได้รับผลกระทบในหลายมิติ และ ทำให้ผมคิดอะไรได้หลากหลายแบบมากๆ จากการที่ไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อนและสถานการณ์กลับบังคับและแสดงให้เห็นแล้วว่า เรื่องใหม่ๆ และ แนวคิดใหม่ๆ ได้เกิดเม่ื่อเราจำเป็นต้องเข้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใดๆก็ตามที่แปลกแตกต่างออกไป

หากคุณสนใจอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคาดเดาว่าธุรกิจจะแปลกไปจากเดิมประเด็นใดบ้างเมื่อผ่านโควิดสิบเก้าไปได้อ่านได้จากที่นี่

วันนี้ผมก็อยากจะพิมพ์ความคิดเหล่านี้ทิ้งไว้ว่า คนที่อยู่ในช่วงโควิดสิบเก้า ณ​ ปี 2020 เราเกิดอะไรขึ้นและ เรากำลังคิดอะไรอยู่ตอนนี้กัน

  1. สถานการณ์แบบสุดโต่งย่อมเกิดขึ้นได้ ! แน่นอนว่าผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่องหงษ์ดำ และ มีคนสรุปเอาไว้ในโลกออนไลน์ไว้ได้ดีมากแล้ว แต่ทั้งหมดนั้นบอกแต่เพียงว่า สถานการณ์แบบสุดโต่งนั้นจะเกิดขึ้นได้ และ มันจะเกิดขึ้นสักวันอย่างแน่นอนที่สุด แต่เราไม่เคยเอาเรื่องพวกนี้กลับมาคิดหร่ือเป็นปัจจัยใดๆสำหรับการตัดสินใจเลย เราคิดว่า เราจะอยู่สถานการณ์ปกติไปตลอด ทั้งๆที่จริงแล้ว เรานั้นก็จะได้เจอกับสถานการณ์สุดโต่งเหล่านี้ประจำอยู่แล้ว แต่ เราเลือกที่จะคิดว่า สถานการณ์สุดโต่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เราเคยเจอน้ำท่วมใหญ่ กทม.มาแล้ว และ ทำให้คนเสียชีวิตจากไฟฟ้าได้ และ/หรือ การสูดหายใจเอาราเข้าปอดทำให้คนตายได้ สองกรณีนี้เกิดขึ้นจริงกับคนรู้จัก เรียกได้ว่าโชคดีไม่ได้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของเราเสียมากกว่า เพราะ เหตุการณ์พวกนี้ เราแทบไม่รู้เลยว่า มันมีภัยที่จะเกิดขึ้นได้และ มันจะทำให้เสียชีวิตไปตลอดกาล สถานการณ์สุดโต่งนี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว และ มันได้รับการเรียกว่า เป็นการแพร่ระบาดของโรคในสัตว์มนุษย์ เรียกว่า COVID-19
  2. เราสามารถอยู่บ้านได้ทุกวันต่อเนื่องกันเป็นเดือนๆ แต่ …​ เราเพิ่งรู้ตัวว่าเราเองนั้นต้องการเดินทางไปนอกบ้านเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆที่แปลกแตกต่างจากกิจกรรมที่บ้านด้วยเช่นเดียวกัน เพราะ เรามองทั้งเมืองเหมือนกับเป็นที่อยู่ของเราเองไม่ได้เป็นแค่ที่บ้านเท่านั้น เราเกิดอาการอยากกินชาบู หรือปิ้งย่าง เหมือนกับที่เราออกเดินทางไปกินปกติ เราเลยต้องหาซื้อเตามาเพื่อทำอะไรให้เป็นการปลอมปะโลมสภาพกิจกรรม แม้นว่าเราจะทำมันที่บ้าน ก็จะทำออกมาให้เหมือนกับที่เราถวิลหาการเดินทางและกิจกรรมนอกบ้านเหล่านั้นอยู่ดี
  3. ทำงานที่บ้านได้ ถ้าหากว่าเนื้องานรองรับ – แต่มันก็ไม่ได้ดีเหมือนกับการพบปะหน้าตาพูดคุยกันจริงๆอยู่ดี แค่ .. มันทำได้เท่านั้น ไม่ได้มีประสิทธิภาพที่ดีกว่ามาก เมื่อเราจำเป็นต้องทำงานประเภทสื่อสารเป็นหลักไม่ได้เป็นเนื้องานที่อยู่กับตนเอง หรือ กับอุปกรณ์ใดๆแต่เพียงอย่างเดียว การประชุมออนไลน์นั้นทำได้ แต่ มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกและความยึดหยุ่นได้ดีมากกว่าการหยิบจับกระดาษ วาดภาพที่กระดาน white board หรือ การแสดงสีหน้าท่าทางได้ครบถ้วนสมบูรณ์ด้วยอวัจณภาษา
  4. การไม่ได้ออกกำลังกาย มันเกิดผลออกมาแล้วเมื่อเราต้องอยู่ตัวเองมากขึ้น การที่เรากินแล้วก็ทำงานแล้วไปนอน วนไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีกิจกรรมออกกำลังกาย ทำให้สภาพร่างกายนั้นอ่อนด้อยไปมาก และ เริ่มมีอาการของโรคที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งนี้ เข้าใจได้ว่า มันอาจจะเป็นเพราะว่าอายุที่มากขึ้นด้วยก็ส่วนหนึ่ง เพราะ การที่มีอายุมากขึ้น นั้นก็เป็นบ่อเกิดของโรคได้เช่นเดียวกัน เราไม่มีทางหรอกที่จะทำดีกับร่างกายได้ทุกส่วน จากทุกกิจกรรม และ มันจะสะท้อนออกมาเป็นอาการอะไรบางอย่างที่ไม่อยากให้เป็น แต่ มันก็เลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะ มันเป็นส่วนหนึ่งของ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าอย่างงั้นเถอะ
  5. เรากลัวโรคติดต่อมากกว่าที่เราคิด ! แต่ก่อนเราไม่เคยคิดหรอกว่า การแพร่ของโรคระบาดนั้นเกิดขึ้นได้จริง ในคน เพราะ ส่วนมากแล้ว เราจะตายกันด้วยโรคไม่ติดต่อกันเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ แต่ นี่แม้นว่า covid 19 นั้นก็ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของการทำให้คนตายได้หากเทียบกับโรคอื่นๆที่ไม่ได้เป็นโรคระบาด แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเรากลัวมัน และ เราต้องหาทางป้องกันเพื่อกันคนอื่นๆ อีกด้วย การกระทำของเรา นั้นจะส่งผลกับคนอื่น ดังนั้นการป้องกันโดยการใส่หน้ากากนั้น ไม่ได้เป็นการป้องกันตัวเองเท่านั้น แต่เป็นการป้องกันคนอื่นได้ด้วยเช่นเดียวกัน
  6. เพื่อนๆจะติดต่อหาเราบ้าง เมื่อเจอสถานการณ์ที่แปลกออกไป เพื่อ update สถานการณ์ระหว่างกัน ใช่แล้วแหละ ปกติแล้ว เราไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงอะไรเท่าไหร่ เพราะ คิดว่าทุกคนก็น่าจะปกติดี แต่นี่ สถานการณ์มันแย่ ทำให้อาจจะลอง update เพื่อนๆดูหน่อยว่า มีใครเป็นอะไรมั้ย หรือ มีใครคิดออกหรือเปล่าว่าจะหลุดจากสถานการณ์แย่ๆเหล่านี้ได้หรือไม่อย่างไร เหมือนเป็นการคุยกันเพื่อระดมความคิด แนวคิด และ แนวทางจากคนอื่นๆ ในสังคมแม้ว่าคนเหล่านั้น เราจะไม่่ได้ต่ิดต่อกับมากมายอะไรนัก ในสภาวะการณ์ปกติ
  7. ปัญหาระดับโลกนั้นมีอยู่จริง ส่วนใหญ่เราจะรับรู้ว่าปัญหาแบบเป็นกันทั้งโลกนั้นจะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็มองไม่ออกว่าผลกระทบนั้นได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว หรือไม่ อย่างไร เพราะ มันเกิดขึ้นด้วยเหตุและผลที่เวลาถ่างกันเป็นระยะเวลาแรมปี ทำให้เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่า อะไรเป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก และ มันก็เหมือนกับโควิดเนียะแหละ ที่เป็นปัญหาระดับโลก มันเป็นก็จะเป็นพร้อมกันแต่แก้ปัญหาแต่ละประเทศได้ไม่เหมือนกัน เนื่องด้วย วิธีการ และ คนตัดสินใจเพื่อดำเนินการป้องกัน แก้ปัญหานั้นกระทำได้ในระดับรัฐ ที่แยกออกด้วยพื้นที่ทางสังคมหน่วยที่เราเรียกมันว่าประเทศ ปัญหาระดับโลกนี้ ทำให้คิดไม่ออกเลยว่าการแก้ถ้าหากว่า มองกลับไปที่ปัญหาสิ่งแวดล้อม มันดันต้องอาศัยความร่วมมือเพื่อกำหนดกฏเกณฑ์ต่างๆในระดับโลกเช่นเดียวกันถึงจะแก้ปัญหาได้ ซึ่งยากกว่าเอามากๆ เพราะ การเริ่มต้นสร้างปัญหาของประเทศหนึ่ง จะก่อให้เกิดผลกระทบหรือก่อให้เกิดปัญหาอีกที่ประเทศหนึ่ง แบบนี้ ผลประโยชน์ มันไม่สามารถแบ่งด้วยพื้นที่ได้ทำให้น่าจะมีโอกาสในการแก้ได้ยาก คิดง่ายๆกว่านั้น เช่น PM2.5 ถ้าหากว่าการสร้างฝุ่นที่ประเทศหนึ่ง ฝุ่นนั้นจะไหลไปอีกประเทศหนึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบแทน ดังนั้นแล้ว ทำไมประเทศต้นเหตุของปัญหาจะต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยล่ะ เหมือนคนลงแรงเป็นประเทศหนึ่ง แต่ อีกประเทศหนึ่งกลับได้ผลบวกแทนอย่างงั้นนั่นเอง
  8. เด็กรุ่นนี้ได้เห็นผลกระทบของปัญหาของคนรุ่นก่อน และ รุ่นที่มีชีวิตนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ เขาเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนทำอีกต่าหาก ! เหมือนกับข้อที่แล้วเลย เพียงแต่ นี่เป็นเร่ื่องของ generation ซะมากกว่า คือ คนสร้างปัญหาเป็นคนกลุ่มก่อนหน้าที่จะต้องตายไปก่อนและคนที่ได้รับผลกระทบเป็นคนกลุ่มหลังที่จะได้รับผลของมัน การไม่ได้ป้องกันโรคระบาดหรือการพัฒนาเพื่อหาทางป้องกันโรคระบาดนั้น ก็เพราะว่าเราไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น (เหมือนที่ข้อแรกได้บอกไว้) และ คิดว่าคนที่จะได้รับผลกระทบนั้นไม่ได้เป็นคนรุ่นตัวเองหรือตัวเองแต่อย่างใด ทำให้เราไม่คิดหรอกว่าเราจะป้องกันหรือกำหนดมาตราการอะไรก่อนที่โรคระบาดจะเกิดขึ้น ไม่ได้ทำการตกลงระหว่างประเทศเอาไว้ ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นปัญหา ไม่ได้ทำ preventive solution หรือแผนอะไรเอาไว้ก่อนนั่นเอง
  9. คนเรายังเห็นแก่ตัวและคนฉลาดน้อย นั้นมีเยอะมากจริงๆ ! (แม้ว่าเรากำลังคิดว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดแล้วก็ตามที) เรารู้อยู่ว่าโรคระบาดโควิดสิบเก้านี้จะระบาดได้ด้วยการที่อยู่ด้วยกันจำนวนมาก คนก็ยังเกิดกลุ่มสังสรร งานเลี้ยงคอนเสิร์ต หรือแม้กระทั่งงานแต่งงานที่จะเรียกคนมารวมกันมากๆ หลักหลายๆร้อยคน โดยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรหรอก ทุกคนอยากใช้ชีวิตให้เป็นปกติเหมือนกับที่มันควรจะเป็นสำหรับโลกที่ไร้โรคระบาดทางเดินอากาศ แต่นี่ เราเองก็รู้ คุณก็รู้ และผมว่าคนอื่นๆก็รู้เหมือนกัน แต่ไม่่สนใจอะไรทั้งนั้นเสียมากกว่า เพราะ เราไม่คิดว่าจะเกิดผลร้ายต่อคนอื่นสักเท่าไหร่ เราเทียบว่า เราจะได้ทำได้กินได้สังสรร ได้สร้างรายได้ จากการรวมตัวกัน และผลักภาระผลลัพธ์ของความเสี่ยงนั้นให้กับคนอื่นๆไปแทน โดยคนเหล่านี้ ประเมินว่าความเสี่ยงนั้นมีน้อยเกินกว่าจะเอามาพิจารณาหรือเป็นตรรกะในการคิดเพื่อแสดงออกถึงการกระทำอะไรได้ ต้องยอมรับความเขลาของคนเหล่านี้ที่มีมากเหลือเกิน ทุกประเทศ ทุกระดับสังคมเลยก็ว่าได้ ทำให้โรคระบาดงวดนี้เป็นโรคระบาดที่เหมาะกับจริตคนมากที่สุดแล้ว เพื่อการทำลายล้างได้เป็นอย่างใด ทั้งนี้ ผมทำใจว่าเราต้องอยู่ในสังคมแบบนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ และมันได้รับการยืนยันแล้วว่าอุบัติการการแพร่ระบาดนั้นเกิดขึ้นทั่วโลก แปลว่า มันมีคนแบบนี้อยู่ทั่วโลกนั่นเอง
  10. ไข้หวัดมันลดลงได้เมื่อเราป้องกันโดยการสวมหน้ากากจริงจัง ! แต่ไหนแต่เรา เมื่อถึงฤดูกาลไข้หวัด คนก็จะเป็นไข้หวัดกัน เหมือนกับเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้เนื่องด้วยมีกฏทางสังคมกำหนดว่าเราต้องใส่หน้ากากเพื่อเข้าพื้นที่สาธารณะหรืออยู่ในที่ที่คนเข้ามารวมกันมากๆ เราจะพบได้ว่า โอกาสของคนเป็นไข้นั้นลดลงอย่างรับรู้ได้เลยทีเดียว ซึ่งการป้องกันแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแม้แต่น้อย เพราะ ไม่มีคนคิดว่าอยากจะใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเพือ่ป้องกันสิ่งเหล่านี้ เพราะ คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทำเกินไปแปลกประหลาดนั่นเอง

เอาเถอะจริงแล้วผมว่านะ สถานการณ์โควิดสิบเก้าทำให้เราเห็นภาพอะไรแปลกๆอีกเยอะ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เกิดความคิดและ การรับรู้ต่อเรื่องต่างๆที่แตกต่างออกไปยังคงมีเรื่องอีกมาก ที่น่าจะเกิดขึ่้นแม้ว่า จะพบวัคซีนแแล้วเป็นต้น ยังไงก็รอดูสถานการณ์กันต่อไปก็แล้วกัน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *