เรื่องๆนี้ออกมาเป็นแนวบันทึกความคิดเห็นและความเห็นต่างจากคนทั่วไปในสังคมสักหน่อยเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้นทีว่านายทหารเข้ามาประเทศไทยแล้วเป็นโควิดแล้วได้ไปเดินเล่นที่ห้างร้านในประเทศไทย และกรณีคล้ายกันเป็นลูกสาวครอบครัวฑูตจากประเทศหนึ่งๆแล้วตรวจพบว่าเป็นโควิดสิบเก้า
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ภาครัฐรับรู้ว่า มันมีรูโหว่ของการออกแบบข้อกำหนดที่ได้สร้างเอาไว้สำหรับคนกลุ่มเหล่านี้ ที่มักจะเรียกว่าให้เกียรติกัน แต่อย่างไรก็ดี ภาครัฐที่เป็นผู้กำหนดกฏที่ว่านี้เห็นผลแล้วว่า ไม่สามารถให้เกียรติพิเศษกับคนเหล่านี้ เพราะ คนก็เป็นคนเช่นเดียวกัน อาจจะไร้วินัยได้หรืออาจจะอ้างว่าตนเองได้สิทธิ์พิเศษต่างๆที่ได้จากการที่ตนมีสถานะที่รัฐกำหนดอนุญาตเอาไว้
เราเห็นผลกระทบที่รุนแรงจากรูโผล่เพียงเล็กน้อยที่คนเหล่านี้สามารถเลือกที่จะทำการกักตัวเองได้ด้วยความสมัครใจโดยอาศัยความเชื่อใจจากการให้เกียรติกัน แต่นั่นไม่ได้หลายความคนเหล่านี้จะทำตามที่บอกอย่างมีวินัยหรือแม้กระทั่งสามารถอ้างได้ว่า “เข้าใจผิด” ก็ยังทำได้โดยไม่ต้องได้รับโทษหรือผลกระทบใดๆจากพฤติกรรมอันไร้วินัยที่มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น (แต่ยังผลกระทบใหญ่เกินกว่าจะควบคุมได้)
ผมได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่นายทหารอียิปต์นี้เดินเข้าออกห้างแห่งหนึ่งและทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเอาไว้เพื่อป้องกันตัวเองและผู้อื่นจากการแพร่เชื้อ แน่นอนว่า เมื่อทหารนายนี้เห็นพื้นที่สาธารณะแล้วพบว่า “คนไทยทั้งหมดใส่หน้ากากผ้า” ทำให้ทหารรายนี้ จำเป็นต้องใส่เช่นเดียวกันเพื่อให้ตัวเองนั้นแปลกแตกต่างจากคนอื่นๆโดยรอบ และ นั่นเป็นปัจจัยที่สำคัญเอามากๆว่า คนที่มีเชื้อโควิดใส่หน้ากากผ้าหรือ หน้ากากอนามัยเอาไว้แม้นว่าเขาจะไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นพาหะก็ตามที
มันเป็นความกดดันทางสังคมอย่างหนึ่งที่คนไทยทั้งประเทศจะช่วยกันได้ คือ การกดดันคนที่เข้ามายังประเทศไทยให้ทำตามระเบียบบังคับการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ด้วยการกดดันทางสังคมแทนการกำหนดและบังคับซึ่งคนเหล่านี้จะไม่สามารถบังคับอะไรได้ด้วยการสั่ง แต่การกดดันด้วยสภาพรอบตัวนั้นทำได้ และเห็นผลอย่างไม่น่าเชื่อ ! มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนๆหนึ่งจะเดินหน้าเปล่าเข้าไปยังพื้นที่สาธารณะอื่นๆที่ทุกคนใส่หน้ากากอย่างพร้อมเพรียงกันหมด และ ถ้าหากว่าไม่ใส่หน้ากาก ก็จะก่อให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้บริการต่างอีกด้วย แน่นอนว่า มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกว่า มันไม่คุ้มเลยที่จะไม่ใส่หน้ากาก การกำหนดแค่ว่า ถ้าหากว่าเข้าห้างต้องใส่หน้ากาก หรือเข้าร้านซื้อสินค้าใดๆก็ต้องใส่หน้ากากเท่านั้นไม่อย่างงั้นก็ไม่ให้เข้าเป็นเรื่องที่ร้านกำหนดกฏขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้บังคับเป็นกฏหมายแต่เราเลือกสร้างกฏหมู่ทางสังคมขึ้นมาได้ และ ทำให้มันเห็นผลได้จริงๆโดยไม่ต้องมีแม้กระทั่งป้ายบอกว่า เขาต้องใส่หน้ากากเมื่ออยู่บริเวณนั้นๆ โดยการมองดูคนอื่นรอบๆว่า เขาใส่หน้ากากกันหมด!
คนไทยเรามีกฏหมู่ที่อยู่นอกกฏหมายกำหนดและการแคร์สายตาคนอื่น เกรียนคีย์บอร์ดที่ทำหน้าที่ถล่ม ประจานและเข้าบูลลี่ทางออนไลน์ในทุกมิติทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งปกติแล้ว จะเป็นไปในทางที่กดดันที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์สาธารณะสักเท่าไหร่ แต่… กิจกรรมการประจาน ตำหนิ ด่าทอนั้นเกิดขึ้นในกรณีนี้ นั้นก่อให้เกิดประโยชน์องค์รวมได้ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกสำหรับการกระทำที่ปกติแล้วจะเป็นการกระทำที่ดูเหมือนหยาบคายและไร้ซึ่งประโยชน์สาธารณะ
ด้วยพฤติกรรมจำเพาะนี้ของคนไทย ที่ไม่ได้ให้เสรีภาพในการกระทำมากมายนัก เนื่องจากกลัวดราม่าและการสนใจต่อสายตาชาวบ้าน และการกลัวต่อการโดน social bully ผ่านสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์นั้นจะเป็นกรณีจำเพาะที่ทำให้เกิดการป้องกันหมู่ได้ในที่สุด
การที่มีกรณีคนติดโควิดต่างชาติเดินเพ่นพ่านเข้ามาในที่สาธารณะได้นั้นถือได้ว่าเป็นวัคซีนสำหรับสังคมไทย และภาครัฐที่ทำหน้าที่กำหนดกฏระเบียบต่อๆสำหรับคนไทยด้วยกัน และทุกคนที่จะเข้ามายังประเทศไทย วัคซีนนี้ทำให้เราแอบคิดและกระชับวินัยและกฏระเบียบให้เข้มแข็งมากขึ้น เพราะ ผลลัพธ์มันไม่คุ้มค่ากันเลยกับการที่จะปล่อยให้วินัยหรือกฏระเบียบในการควบคุมโรคนั้นหย่อนยานลง และ หวังใจว่า “วัคซีนนี้จะไม่ได้ทำให้เราป่วยปางตายแค่เป็นตัวกระตุ้นเพื่อให้เราและผู้คุมกฏนั้นแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันป้องกันการระบาดของโรคได้ดียิ่งขึ้น”
บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก น้ำยาพ่นหน้ากากผ้าสะท้อนน้ำ HYDROVA สะท้อนน้ำมูกน้ำมันที่เป็นละอองฝอยในอากาศไม่ให้ซึมเข้าหน้ากากผ้าเพื่อลดโอกาสเสี่ยงการติดโควิดสิบเก้าจากการใส่หน้ากากผ้าทั่วไป