เมื่อเด็กเกิดมาและจำเป็นต้องอยู่เมืองกรุงวันนี้ พวกเขาจะต้องเจอปัญหาใหม่ที่คนยุคพ่อแม่ไม่ได้เจอเมื่อตอนเป็นเด็กก็คือ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เรียกได้ว่า มันเป็นผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพทางเดินอากาศของเด็กได้มากกว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นแล้ว สำหรับบทความนี้ อยากจะมาเล่าเรื่องว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว และ คุณและลูกหลานลองคุณต้องอยู่กับมัน (คงไม่ได้ย้ายบ้านหนีไปไหน) และ คงไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาช่วย เราต้องดูแลเด็กของเราอย่างไรกันบ้าง ด้วยวิธีการเทคโนโลยีทั้งหมดที่มีในปี 2020 นี้
เริ่มจากการรู้ให้ได้ว่า บ้าน และ อากาศนอกบ้านนั้นมีคุณภาพอากาศดีเพียงพออยู่หรือไม่ ?
การที่เราจะรู้ได้นั้นแปลว่า เราจำเป็นต้องมีเครื่องวัด เพราะ เราไม่สามารถใช้ความรู้หรือจมูกของเราเป็นตัวบอกได้อย่างชัดเจนว่า คุณภาพอากาศตอนนี้ค่า PM2.5 มันมากเกินไปหรือน้อยดีแล้วได้ มันเป็นอนุภาคที่เล็กเกินกว่า sense สัมผัสของเราจะรับรู้ได้ จะไปรู้อีกทีก็ต้องมีอาการแล้ว เช่น ไอจามเป็นเลือด เนื่องจากเส้นเลือดในคอแตกระคายเคือง เป็นต้น เรียกว่า ถ้าหากว่า คุณมีอาการอย่างงั้นแล้วไซร้ เด็กๆก็จะพบกับอาการที่แรงกว่าคุณอย่างแน่นอน
ดังนั้น เราไม่ควรรอให้ถึงจุดดังกล่าวถึงจะมารู้ตัวว่าสภาพอากาศในห้องนอน ในบ้าน หรือ นอกบ้าน (หน้าบ้านของเรา) มันแย่หรือดีเพียงใด เพียงคุณจำเป็นต้องหาซื้อ เครื่องวัดคุณภาพอากาศสักเครื่องหนึ่ง เพื่อบอกว่าตอนนี้ค่า PM2.5 ณ ที่คุณอาศัยอยู่มันมีค่าเท่าใดแล้ว
เราแนะนำเครื่องวัดคุณภาพอากาศออกมาเป็น 2 แบบหลักๆ คือ
- เครื่องวัดอากาศที่ติดมากับเครื่องฟอกอากาศ เช่น ถ้าหากว่า คุณต้องการวัดคุณภาพอากาศของห้อง indoor ในพื้นที่ที่คุณอยู่ประจำอยู่แล้ว และ คุณแน่ใจว่า คุณต้องการเครื่องฟอกอากาศอยู่แล้วสักเครื่องหนึ่ง เราแนะนำให้คุณซื้อเครื่องฟอกอากาศที่มีหน้าจอที่แสดงค่า คุณภาพอากาศ ที่เน้นการแสดงผลค่า PM2.5 เป็นหลัก เช่น เครื่องฟอกอากาศ Xiaomi ตั้งแต่รุ่น 2S เป็นต้นไป (รุ่นหลังกว่านั้นก็ได้ เช่นรุ่น 3H ที่เปิดตัวเมื่อปี 2020 นี้) เครื่องพวกนี้ จะมีหน้าจอ แอลอีดี แสดงค่า PM2.5 อยู่ที่เครื่องเลย ดังนั้นแล้ว เพียงคุณซื้อเครื่องฟอกอากาศพวกนี้ ก็เท่ากับว่า คุณจะได้เครื่องวัดคุณภาพอากาศมาด้วยเช่นเดียวกัน
- เครื่องวัดคุณภาพอากาศที่ทำหน้าวัดคุณภาพอากาศแต่เพียงอย่างเดียว หากคุณจะเลือกซื้อโดยคิดว่าจะมีเพียงเครื่องเดียว แนะนำให้เลือกเครื่องที่สามารถ portable ยกเดินไปเดินมาได้ หรือมีถ่านในตัวเอง เพื่อความสะดวก ในการนำไปวัดค่าห้องต่างๆ และ นำไปวัดค่าที่นอกสถานที่ได้ เช่นหน้าบ้านของคุณ (หรืออยากเอาไปวัดที่ที่เรียนกวดวิชาก็ได้เช่นเดียวกันถ้าหากว่า คุณไม่แน่ใจ) ทั้งนี้ การมี เครื่องวัดคุณภาพอากาศที่พกพาได้สะดวก จะทำให้คุณสามารถรู้คุณภาพอากาศทุกสถานที่ที่เด็กจะต้องเข้าไปอยู่ เรียน และ ทำกิจกรรมได้ทั้งหมด เราแนะนำเครื่องของ Xiaomi AIr Quality Monitor รุ่นล่าสุดเนื่องจากมีถ่านที่อายุนานกว่า และ มองเห็นหน้าจอได้ชัดเจนกว่ารุ่นเดิมมาก คุณสามารถหาซื้อได้ราคาประมาณ 1,xxx บาท โดยประมาณ ตำสุดเท่าที่เคยเห็นในตลาดคือ 1190 บาทต่อเครื่อง
นอกจากนี้แล้ว หากคุณคิดว่าเด็กจะต้องวิ่งเล่นประจำทุกวันหรือมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แนะนำว่า อาจจะใช้เครื่องวัดคุณภาพอากาศแบบติดตั้งหรือวางหลบฝนด้านนอกบ้านเอาไว้ได้เลย และ share บัญชีการเข้าถึงข้อมูลนี้ใหกับเพื่อนบ้านของคุณ (เพื่อแชร์ต้นทุนเครื่องวัดคุณภาพอากาศ) ออกไปได้เช่นเดียวกัน เครื่องวัดคุณภาพอากาศนั้นที่วัดค่านอกบ้าน ควรจะเชื่อมต่อกับ WIFI network ของบ้านคุณเอง เพื่อให้คุณสะดวกที่จะดูค่า PM2.5 ผ่านแอพในมือถือได้ และ เพื่อนบ้านของคุณก็จะดูได้เช่นเดียวกัน
สรุปรายการอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง :
- เครื่องฟอกอากาศแบบที่มีหน้าจอแสดงค่าคุณภาพอากาศแสดงที่เครื่องรุ่น 2S ขึ้นไป
- เครื่องวัดคุณภาพอากาศแบบพกพา Xiaomi รุ่นล่าสุด
- เครื่องวัดคุณภาพอากาศแบบต่อ WIFI และดูค่าผ่านแอพ JQ-300
แอพสำหรับบอกคุณภาพอากาศเชื่อไม่ได้ !
เมื่อคุณมีเครื่องวัดคุณภาพอากาศแล้ว คุณสามารถใช้เครื่องดังกล่าว เพื่อเป็นตัวบอกได้ว่า ในบ้านของคุณอากาศดีพอหรือไม่ และ ด้านนอกบ้านของคุณ ก่อนที่คุณจะปล่อยให้ออกไปขี่จักรยาน หรือ วิ่งเล่นหน้าบ้าน มันมีคุณภาพอากาศดีพอแล้วหรือไม่ ทั้งนี้คุณอาจจะแปลกใจว่าในเมื่อมีแอพสำหรับการแสดงค่า คุณภาพอากาศให้อ่านดูค่ากันฟรีๆอยู่แล้ว ทำไม เราจำเป็นต้องมีเครื่องวัดอีกล่ะ !? คำตอบนั้นก็คือ แอพพวกนั้น มันวัดค่าจากสถานที่ที่คุณไม่ได้อยู่อาศัย แม้นว่า มันจะเป็นเขตพื้นที่ใกล้บ้านของคุณแต่นั้นไม่ได้หมายความว่า “หน้าบ้านของคุณจะมีคุณภาพอากาศเดียวกัน! และ คุณไม่ควรเอาลูกของคุณไปเสี่ยงกับความไม่รู้ที่ทำให้มันรู้ได้!” ใช่แล้ว เนื่องจากเราได้ทำการเทียบค่า คุณภาพอากาศจากแอพแม้นว่า จะเป็นสถานีวัดค่าคุณภาพอากาศที่ใกล้ที่สุด แต่มันก็ห่างออกไปมากกว่า 5 กิโลเมตร และ เราวัดค่าจากเครื่องวัดคุณภาพอากาศของเราเองที่เรามี ที่หน้าบ้าน ค่าที่ได้ต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ว่าได้ มีทั้งที่ในแอพค่าดูดี และ หน้าบ้านของเรามันไม่ดีเอามากๆ (อาจจะมีร้านหมูปิ้งมาขายหน้าบ้านริมถนนแล้วลมพัดเข้ามาในบ้านของเรา) และ อีกกรณีก็คือ ดูค่าคุณภาพาอากาศในแอพแล้วค่าไม่ดีเอามากๆ แต่หน้าบ้านของเรา อากาศคุณภาพดีพอเพื่อให้เด็กออกไปวิ่งเล่นได้ก็มีเหมือนกัน ดังนั้นแล้ว โดยสรุปคือ คุณจำเป็นต้องมีเครื่องวัดเท่านั้น และ สอนให้พี่เลี่ยงเด็กของคุณใช้ด้วยก็แล้วกัน !
สรุปรายการแอพที่เกี่ยงข้อง :
ฟรีแอพสำหรับดูคุณภาพาอากาศ Air Matters
คุณภาพอากาศโดยเฉพาะเรื่อง PM2.5 นั้นต้องเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าดี?
ในแต่ละประเทศจะกำหนดค่าคุณภาพอากาศที่รับได้ ไม่เท่ากัน แล้วแต่ความเจริญของประเทศนั้นๆว่า กำหนดเป็นกฏเกณฑ์ออกมาแล้ว สามารถบังคับควบคุมได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ประเทศที่เพิ่งจะเริ่มมีการกำหนดค่าคุณภาพอากาศเพื่อบังคับคนอื่นๆ โดยเฉพาะแหล่งกำเนิดและผู้ควบคุม ก็เริ่มจากค่าที่ง่ายสำหรับคนทำฝุ่นเหล่านั้นเสียก่อน แล้วค่อยๆปรับให้ความยากในการควบคุมมันทำได้ยากมากขึ้น เรียกได้ว่าฝึกกันทีละนิดๆก็ว่าได้ อย่างไรก็ดี สำหรับคุณภาพชีวิตนั้นไม่ได้มีผลกับข้อกำหนดคุณภาพอากาศที่ดีที่รัฐเป็นคนกำหนดแต่อย่างใด เพราะ คนก็เป็นคนเหมือนกันทั้งหมดทั่วโลก ไม่ได้มีความต้านทานต่อฝุ่นต่างกันหรอก ดังนั้นแล้ว ให้คุณยึดเกณฑ์ที่ดีที่สุดของโลกนี้ก็ได้ เช่น มีการกำหนดในบริเวณพื้นที่ทางยุโรปว่า คุณภาพอากาศที่ดีค่าคุณภาพของค่า PM2.5 ต้องน้อยกว่า 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศ์กเมตร ก็แปลว่า เราอาจจะยึดค่านี้เพื่อจำเอาไว้ในหัวเราก็ได้ ว่า ถ้าหากว่า คุณภาพอากาศค่านี้มากกว่านี้ก็น่าจะเริ่มไม่ดีเท่าไหร่แล้วสำหรับการวิ่งเล่น เป็นต้น เหตุที่เราต้องบอกแบบนี้ เพราะ แม้แต่ในประเทศจีน และ ค่าต่างๆที่เครื่องตั้งกำหนดเอาไว้ว่าเป็นสีเขียวคือค่าเท่ากับ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศ์เมตรซึ่งมากกว่า 35 เห็นๆ ทีนี้ก็เหลือแค่คุณแล้วว่า คุณต้องการเอาคำว่าดีไปผูกไว้กับค่าๆไหน ระหว่างค่าจีนใช้ (50) และค่าที่ประเทศโซนทางทวีปยุโรปใช้กันที่ค่าคือ 35 เป็นต้น
แท้ที่จริงแล้ว ค่าคุณภาพอากาศนั้น มันจะประกอบด้วยตัวแปลอื่นๆ เช่น PM10 และค่าสารประกอบที่เป็นพิษเช่น ฟอมันดีฮายต์ และ ค่าอื่นๆอีกหลายแบบ ทำให้มีการเอาค่าเหล่านั้นมาคำนวณ เพื่อบอกเป็นค่าดัชนีคุณภาพอากาศที่แต่ละประเทศใช้แตกต่างกันแล้วแต่สูตรที่เลือกเพื่อเอามาทำคำนวณแล้วบอกมาเป็นค่าเพียงเลขเดียวเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวแล้ว เรามองว่าการใช้ค่าพวกนั้นทั้งหมด จะไม่มีประโยชน์กับสถานการณ์ของพื้นที่ประเทศไทยแต่อย่างใด เพราะ ปัญหาเรารู้แน่ชัดอยู่แล้วว่า มันคือปัญหาค่าฝุ่นละเอียด PM2.5 ดังนั้นแล้วให้เรามองค่านี้เอาไว้เป็นหลักก็ถือว่าใช้ได้แล้วสำหรับสถานการณ์ความเป็นพิษทางอากาศของประเทศไทยเรา
อย่าลืมให้ความรู้กับพี่เลี้ยงเด็กของคุณเรื่องคุณภาพอากาศ
เนื่องจากตัวคุณเองไม่ได้อยู่กับเด็กตลอดเวลา ดังนั้นแล้วใครกันล่ะ ที่อยู่กับเด็ก คุณอาจจะมีพี่เลี้ยงหรือปู่ย่าที่่ช่วยเหลือในเรื่องของการเลี้ยงเด็ก และ เขาเหล่านั้นต่างหาก ที่จะต้องรู้เรื่องค่าคุณภาพอากาศต่างๆ และ วิธีการดูแยกแยะได้ว่า คุณภาพอากาศสักเท่าไหร่ถึงจะให้เด็กเข้าพื้นที่เพื่อเล่นออกแรง และ สูดอากาศเหล่านั้นได้ โดยเริ่มที่ความรู้ที่ตัวคุณต้องมีด้วยเช่นเดียวกัน พี่เลี้ยงหรือคนที่ทำหน้าที่เลี้ยงเด็กจะต้องทราบถึงสถานการณ์ที่เกิด และ รู้ว่าต้องดูหน้าจออะไร ที่ค่าเท่าไหร่ถึงจะเอาเด็กออกไปวิ่งเล่นหน้าบ้าน หรือ จะต้องเปิดเครื่องฟอกอากาศในบ้านของเราเองให้แรงขึ้นหรือไม่ และ ทำอย่างไร ทั้งนี้ให้กำหนดสอนเป็นขั้นตอนเพื่อให้เขาเหล่านั้นเข้าใจด้วยว่า ทำไมถึงต้องทำและ ฝุ่น PM2.5 จะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเขาเองและต่อเด็กอย่างไร (เพื่อเป็นการขู่และทำให้ทำตาม)
เมื่อเด็กต้องไปโรงเรียนจะเกิดอะไรขึ้นหากต้องไประหว่างที่เกิดปัญหาฝุ่นครองเมือง
ใช่แล้ว! เมื่อพูดถึงเด็กก็ต้องพูดถึงว่าเด็กก็ต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ (สำหรับเด็กปกติที่ไม่ได้มีพ่อแม่ระดับดอกเตอร์สอนเองที่บ้านได้ และฐานะทางการเงินดีมากๆระดับไม่ต้องทำงานที่อื่นทำที่บ้านและมีเวลาดูลูกได้ Full Time) เด็กจะต้องเดินทางเพื่อไปโรงเรียนดังนั้นแล้ว ระหว่างการเดินทาง หากต้องเดินทางในที่โล่งแจ้ง จำเป็นต้อง “ดาหน้าเข้าพื้นที่ฝุ่นเกินมาตราฐาน” พวกเขาอาจจะต้องติดอาวุธสำหรับการป้องกันฝุ่นเหล่านั้น เช่น อาจจะต้องมีเครื่องฟอกอากาศแบบพกพา (จริงๆมันคือเครื่องพ่นประจุพกพาที่พ่นไอออนออกที่ที่หน้าของเด็ก) และ จำเป็นต้องมีีหน้ากากกันฝุ่นระดับที่ออกแบบมาเพื่อกรองฝุ่น PM2.5 ย้ำอีกครั้งว่า มันจะไม่ใช่หน้ากากอนามัย มันจะต้องเป็นหน้ากากกรองฝุ่นเท่านั้น และ แนะนำว่าเด็กเหล่านี้จะต้องใส่หน้ากากตลอดทั้งวันถ้าหากว่า โรงเรียนเป็นแบบไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศ ถ้าหากว่าเป็นกรณีที่โรงเรียนเป็นสถานที่ปรับอากาศ (ติดแอร์ว่าง่ายๆ) ก็จำเป็นต้องลงขันหรือบังคับให้โรงเรียนติดตั้งเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับขนาดของพื้นที่ห้องเรียนด้วยเช่นเดียวกัน เราแนะนำถ้าหากว่าโรงเรียนไม่ทำอะไร เราสามารถลงขันกันก็ได้ เพราะ ถ้าหากว่าเฉลี่ยต่อคนจะถูกเอามากๆ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก นอกจากนี้ สำหรับหน้ากากกันฝุ่นนั้น จำเป็นต้องมีขนาดเพื่อเหมาะสำหรับเด็กด้วย เพราะ ส่วนมากแล้ว หากใส่หน้ากากกันฝุ่นได้ไม่พอดีกับรูปหน้า จะทำให้อากาศที่ผสมฝุ่นไหลเข้าออกผ่านทางช่องทางด้านข้าง และ มันไม่ได้เป็นกรองฝุ่นเลย เรียกว่า เสียเงินแล้ว ยังไม่ได้ผลลัพธ์อีกต่างหาก ดังนั้นย้ำกันอีกรอบว่ามันต้องเป็นหน้ากากกันฝุ่นที่ออกแบบสำหรับเด็กโดยเฉพาะ
สรุปรายการอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง :
นี่คงเป็นวิธีการต่างๆที่เกี่ยวข้องสำหรับการป้องกันภัยจากฝุ่นที่จะมีผลกระทบต่อเด็กๆในบ้านของเราเท่าที่ประสบการณ์ของผู้เขียนมี และ ทั้งหมดนี่จำเป็นต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ เด็กนั้นมีความต้านทานต่อสภาพอากาศที่เป็นพิษน้อยกว่าผู้ใหญ่อย่างเราๆท่านๆ ใช่ มันอาจจะต้องเสียเงินเสียทองกับสภาพปัญหาที่ท่านไม่ได้ก่อโดยตรง และ ท่านเองก็มีส่วนหนึ่งของปัญหานี้เช่นเดียวกัน และ นี่คือจุดเริ่มต้นเล็กๆที่เป็นผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมที่เราไม่ได้ต้องการเลยแม้แต่น้อย และ ไม่เคยรู้ว่ามันจะมีผลออกมาได้มากถึงขนาดนี้ และ คิดว่าปัญหาทางสิ่งแวดล้อมอื่นๆจะตามมาและ เริ่มมีผลกระทบแบบที่คนเราอาจจะป้องกันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เราไม่อาจจะหวังว่ารัฐจะเข้ามาแก้ไขปัญหาอะไรเหล่านี้ หากยังไร้มาตราฐานในการป้องกันปัญหา และ เด็กๆเหล่านี้จะต้องรับกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อแต่อย่างใด และนี่แหละ คือ โลกที่เรากำลังต่อมอบต่อให้กับลูกหลานของคุณเอง