หลักการเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับตัวคุณและประหยัดเงิน

how to choose air purifier thailand

ตั้งแต่มีเรื่องของอากาศในตัวเมืองกรุงเทพมีปัญหาเรื่อง PM2.5 ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักว่า ถ้าหากว่ามีฝุ่นเข้าบ้านเราแล้วเราก็น่าจะกำจัดมันออกได้หรือควบคุมไม่ให้อากาศในห้องของเรามีคุณภาพอากาศที่ดีได้ โดยซื้อเครื่องฟอกอากาศมาใช้สักเครื่องหนึ่ง นี่คือความคิดพื้นฐานที่คนที่ได้ข่าวและคิดว่าอยากจะแก้ปัญหาเรื่องนี้จะทำได้ แล้วก็เริ่มต้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศว่าเครื่องฟอกอากาศรุ่นไหนดี จะเลือกเครื่องฟอกอากาศยังไงดี และคนอื่นเขาใช้เครื่องฟอกอากาศอะไรกัน ทำให้คุณอาจจะมาเจอเนื้อหาของผมที่จะเล่าประสบการณ์และแนวคิดในการใช้เครื่องฟอกอากาศแบบลึกๆกันน่ะครับ

คนที่แคร์เรื่องการฟอกอากาศนั้นหลักใหญ่ใจความจะมีกลุ่มคนอยู่สามพวก คือ

  1. คนที่คิดว่าอยากจะซื้อเครื่องฟอกอากาศเพื่อตัวเองใช้เอง อาจจะด้วยเหตุผลว่า ได้ข่าวว่าอากาศไม่ดีไม่อยากให้ฝุ่นที่บ้านหรือที่ห้องเยอะ
  2. คนที่คิดว่าอยากจะติดตั้งใช้กับที่บ้านเพื่อคนอื่น เช่นลูกเล็กเด็กแดง หรือเด็กทารก เด็กอ่อน หรือคนที่มีสภาวะไวต่อฝุ่นละออง
  3. คนที่คิดว่าอยากจะซื้อเอาไว้ใช้เพราะรู้สึกว่าบ้านของตัวเองมีฝุ่นเกาะหนาตามเฟอร์นิเจอร์เยอะถ้าหากว่าไม่ได้ทำความสะอาดก็จะเห็นคราบฝุ่นในระยะเวลาไม่นาน (คนรักความสะอาดแต่ไม่ได้แคร์ตัวเองแต่เน้นแคร์ภาพลักษณ์และการทำความสะอาดซะมากกว่า)

เอาเป็นว่าไม่ว่าคุณจะคิดว่าคุณจะมีเหตุผลอะไรก็ตามในการที่อยากจะซื้อเครื่องฟอกอากาศ คุณน่าจะเริ่มต้นคิดซะก่อนว่า คุณต้องใช้เครื่องฟอกอากาศหรือเปล่า ? เพราะโดยปกติแล้วถ้าหากว่าบ้านที่มีโอกาสมีงฝุ่นละอองในห้องมาก คือ ห้องที่ติดกับหน้าต่างและมีการเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศฝุ่นภายนอกเข้าได้สะดวก หรือ มีการเปิดระบายอากาศโดยการรับอากาศใหม่เข้ามา และ พื้นที่บริเวณนั้นของคุณมีปัญหาเรื่องสภาพอากาศ เช่น อาจจะติดกับถนนใหญ่ หรือ อยู่ในพื้นที่ที่ประกาศว่ามีสภาพของ PM2.5 ได้มากเกินกว่าที่มันควรจะเป็น ถ้าหากว่าห้องบางห้องของคุณไม่ได้มีหน้าต่างเข้าออก เช่น ห้องใต้ดิน หรือห้องที่ต้องเปิดประตู เปิดแล้วเปิดอีก และถึงจะเจอห้องที่คุณกำลังคิดว่าจะติดตั้งเครื่องฟอกอากาศแล้วล่ะก็ แทบเป็นไปไม่ได้เลยว่า จะมีปัญหาเรื่องการฟอกอากาศแต่อย่างใด

แล้วถ้าหากว่าเปิดแอร์แล้ว แอร์มันจะเอาฝุ่นภายนอกเข้ามากับระบบของการปรับอากาศหรือเปล่า ? คำตอบค้ือ ไม่! แอร์ทั่วไปแล้ว มันเป็นการเอาอากาศภายในห้องมาวนเพื่อให้มันอยู่ในห้องนั้นเองน่ะแหละ มันไม่ได้เป็นการเอาอากาศภายนอกเข้ามาแต่อย่างใด และ ถ้าหากว่า จะมีระบบดูดอากาศ มันก็จะเป็นการเอาอากาศจากในห้องเพื่อดันออกสู่อากาศภายนอกเสียมากกว่า (พัดลมไม่ได้ดูดเข้าห้องเป็นการดูดอากาศออกนอกห้อง) ที่แอร์มันเย็นได้ก็เพราะว่า เมื่อทำเอาอากาศในห้องตัวเองผ่านคอยเย็น (ตัวทำความเย็น) แล้วอากาศออกจากแอร์ก็หมุนในห้อง มันก็จะเย็นขึ้นเรื่อยๆแล้วเวียนซ้ำๆไปเรื่อยๆ ทำให้แอร์มันทำห้องของเราให้เย็นได้ยังไงล่ะครับ

ก่อนจะเข้าเรื่องเครื่องกรองอากาศ คุณก็น่าจะต้องรู้เสียหน่อยว่า คุณภาพอากาศนั้นมันมองเรื่องอะไรบ้าง โดยเฉพาะอากาศภายในอาคารบ้านเรือนทั่วไป ผมเล่าเป็นประเด็นย่อยๆได้ดังต่อไปนี้น่ะครับ คือ ค่า PM2.5 ที่แน่นอนว่าคุณรู้ว่ามันคืออะไรก็ตามที่เล็กระดับ 2.5 ไมครอนพวกนี้เป็นประเด็นที่เราอยากจะไม่ให้มันเข้าร่างกาย ถ้าหากว่ามันอยู้ในบ้านเราก็อยากจะกำจัดมันมากที่สุดในบรรดามลภาวะทางอากาศ มันจะมีพวก PM10 ด้วยพวกนี้มันจะเข้าบ้านคุณได้ถ้าหากว่าบ้านคุณติดถนนก่อสร้างหรืออะไรพวกนี้ พวกนี้จมูกน่าจะยังกรองออกได้อยู่เพราะมันเป็นฝุ่นขนาดใหญ่เอาการเลยทีเดียว ค่าฟอมันดีฮาย หรือค่าความเป็นพิษจากเคมีอื่นๆ ถ้าหากว่าให้คิดง่ายๆก็เช่น ถ้าหากว่าคุณซื้อเฟอร์นิเจอร์มาใหม่ๆแล้ว ได้กลิ่นใหม่จากเฟอร์ฯเหล่านั้นก็นั่นน่ะแหละครับ มันคือ กลิ่นสีกาว หรือการอบไม้ปลอมๆเหล่านั้นที่เป็นสารเคมีที่เป็นพิษแล้วมันก็อยู่ในบ้านของคุณไปสักพักจนกว่ามันจะระเหยออกจากเฟอร์ออกทั้งหมด แน่นอนว่า ในอากาศมันจะมีพวกแบททีเรียหรือไวรัสที่ปะปนอยู่ในอากาศและอาจจะไม่สามารถวัดค่าได้จากอุปกรณ์ทั่วไป ทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าน่าเป็นสิ่งที่น่าจะปะปนในอากาศได้ และแต่ละตัวก็มีแนวทางในการกำจัดหรือขับไล่มันแตกต่างกันออกไปด้วยวิธีการต่างๆครับ

คุณอาจจะอยากรู้ก่อนหรือเปล่าว่าห้องของคุณมีปัญหา PM2.5 หรือเปล่า?

แน่นอนว่า คุณที่เป็นคนปกติจะไม่มีอุปกรณ์ใดๆในการวัดค่าคุณภาพอากาศใดๆติดเอาไว้ที่บ้าน ถ้าหากว่ามีแปลว่า เค้าอาจจะเป็นวิศวกรอะไรบางอย่างหรือมีคนทำอาชีพติดตั้งระบบปรับคุณภาพอากาศตามโรงพยาบาลอะไรเทือกนี้ อย่างว่าแหละ ถ้าหากว่าคุณอ่านบทความนี้อยู่แปลว่าคุณเป็นคนปกติคนหนึ่งที่เพิ่งจะหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพอากาศแบบเริ่มจาก 0 กันเลยทีเดียว จริงๆแล้วอุปกรณ์วัดค่าของจีนจะมีขายอยู่ทั่วไปใน internet อยู่แล้ว มันจะบอกค่า PM2.5 PM10 และ HCHO (บอกค่าของฟอร์มาลดีไฮด์) TVOC ซึ่งบทความนี้ เราจะเน้นไปที่ PM2.5 กันก็แล้วกันส่วนตัวอื่นๆ มันเป็น sense ที่เรารับรู้ได้อยู่แล้ว เพราะ กลิ่น่ของฟอร์มาลดีไฮด์มันได้กลิ่นอยู่แล้วไม่ต้องออกแบบใช้เครื่องเพื่อตรวจจับก็สามารถรับรู้ได้ด้วยตัวคุณหร่ือจมูกของคุณเองอยู่ดี เพราะงั้นแล้ว ถามตัวเองก่อนว่า อยากจะรู้ก่อนหรือเปล่าว่าห้องของเรามันไม่เคยมี PM2.5 เกินกว่าค่า 50 เลยแม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่ต้องหาซื้อเครื่องฟอกอากาศมาก็ได้ แต่ถ้าหากว่า คุณยังคิดว่า อืม … ยังไงก็จะซื้อเครื่องฟอกอากาศไม่อยากจะซื้อเครื่องวัดคุณภาพอากาศอะไรแบบนี้ก็อ่านต่อกันเลยน่ะครับ แต่คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมผมมีด้วยล่ะ ? เหตุผลหลักที่ผมมีก็เพราะว่าผมจะเอาไปวัดอากาศภายนอกอากาศเพื่อให้เด็กๆสามารถเดินไปเล่น Outdoor ได้อย่างสบายใจ แม่ว่ามีการประกาศว่าอากาศไม่ดี หรือดีก็ตาม ่เราไม่รู้หรอกว่าอากาศหน้าบ้านเราเลยเนี่ยะมันเป็นยังไงจนกว่าคุณจะมีอุปกรณ์วัดโดยตรง ตัวอย่างเช่น แถวบ้านคุณอาจจะเผากระดาษกกเต็ก หรือมีคนพ่นอะไรหรือเปล่า เราก็ไม่รู้น่ะครับ ดังแล้วสำหรับการซื้อเครื่องอะไรพวกนี้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร และ เอาไว้ใช้เพื่อสิ่งนี้เป็นหลัก นอกนั้นก็เอาไปอ่านค่าในห้องและในอาคารอื่นๆได้อีกด้วย อ่านค่าที่ออฟฟิศ อ่านค่าที่ห้องทำงาน อ่านค่าที่ห้องนอนหรือแม้กระทั่งในรถที่นั่งกันอยู่น่ะแหละครับ

เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศที่แสดงค่าหลากหลายประเภท โดยให้เน้นการแสดงผลค่า PM2.5

ภาพด้านบนจะเป็นตัวอย่างของอุปกรณ์ที่เรียกว่า Air Quality Detector น่ะครับ มันจะบอกค่าที่ผมเล่าไปแล้วให้คุณได้รู้ทั้งหมด แล้วมันมีตั้งแต่ราคา 650 บาทถึงพันหรือสองพันกว่าบาทก็สุดแล้วแต่การออกแบบและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ไม่เหมือนกันครับ แต่ผมเน้นน่ะครับ ถ้าหากว่าคุณจะเลือกสินค้าประเภทนี้ขอให้อ่านรายละเอียดเสียก่อนว่า มันเป็นการอ่านค่า PM 2.5 ได้ครับ ไม่อย่างงั้นซื้อมามันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร

เข้าไปเลือกอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศได้จากที่นี่

ประโยชน์จากการที่คุณมีเครื่องวัดค่าคุณภาพอากาศแบบนี้ ก็คือ คุณสามารถนำไปวัดที่ที่คุณต้องการจะวัดได้ นั่นก็คือ สถานที่ที่คุณอยู่ประจำเช่น คุณอาจจะอยากรู้ว่าคุณภาพอากาศที่ห้องทำงานที่ออฟฟิศของคุณมันคุณภาพโอเคหรือเปล่า หรือ คุณอยากจะรู้สภาพคุณภาพอากาศหน้าบ้านของคุณ หรือ คุณอาจจะอยากรู้ว่าสวนสาธารณะที่คุณไว้วิ่งออกกำลังตอนเย็นทุกวันมันมีคุณภาพอากาศที่รับได้หรือเปล่า เอาเป็นว่าถ้าหากว่าคุณต้องการรู้เหมือนกับที่ผมอยากรู้ การมีเครื่องแบบนี้เอาไว้สักเครื่องก็ไม่ได้เสียหายอะไร หรือกรณีที่คุณมีเด็ก คนชรา หรือคนที่แพ้อากาศได้ง่าย การที่มีเครื่องวัดคุณภาพอากาศแบบนี้มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มซะอีก !

รู้หรือเปล่าว่าคุณสามารถทำให้แอร์ของคุณเป็นเครื่องฟอกอากาศได้ด้วยนะ !

คุณหนูเนยได้รีวิวการแนะนำใช้เครื่องปรับอากาศให้เป็นเครื่องฟอกอากาศแทน เครื่องฟอกอากาศตัวจริง เพื่อประหยัดเงินไปได้อีกหน่อย หรือ คุณมองว่าคุณหาซื้อเครื่องฟอกอากาศไม่ได้แล้ว

ใช่แล้ว ด้วยเหตุผลของระบบแอร์ที่ผมเล่าให้ฟังไปแล้วเนี่ยะ มันก็คือ ตัวดูดอากาศไหลเวียนในห้องดีๆนี้เอง ที่เหลือก็แค่คุณอาจจะหาแผ่นฟิลเตอร์ประเภท Electrostatic ใดๆก็ได้ว่าว่ามันทำจาก polymer ใดๆหรือจะเป็นกลุ่มฝ้ายก็ได้เพียงเอาไปติดขวางทางไหลของอากาศขาเข้าของแอร์ฝั่งคอยเย็น (ก็แอร์ที่มันอยู่ในห้องน่ะแหละ) เปิดออกมามันจะมีตะแกรงตาข่ายที่ขวางฝุ่นขนาดใหญ่อยู่ คุณก็จัดการเอาแผ่นพวก Fliter อากาศพวกนี้ใส่เพิ่มเข้าไปก็เท่านั้นเอง เป็นอันว่าไม่ต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศกันเลยก็ว่าได้ เพราะว่า มันทำงานได้เหมือนกันแล้ว แต่ถ้าหากว่าคุณคิดว่าคุณไม่สะใจและไม่แน่ใจอยากจะได้อะไรที่มากกว่าการกรองฝุ่น PM2.5 จากแผ่นฟิลเตอร์พวกนี้ก็อ่านต่อเอาก็แล้วกันว่า ถ้าหากว่าผมจะแนะนำให้คุณใช้เครื่องฟอกอากาศ มันจะต้องทำอะไรได้บ้างเพื่อให้มัน make sense ในการใช้งาน

3M Filtrete เป็นนวัฒกรรมที่แปลงเครื่องปรับอากาศให้กลายเป็นเครื่องฟอกอากาศได้ในระยะเวลาอันสั้น

แผ่นที่เอาไว้กรองฝุ่นประเภท PM2.5 ให้ติดกับแผ่นโดยแผ่นพวกนี้ออกแบบมาเพื่อให้คุณตัดติดกับแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศทั่วไปได้ คนที่ทำตลาดหลักเห็นจะเป็น 3M Filtrete โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่ มันก็เป็นวิธีการที่ประหยัดที่สุดหากต้องการติดตั้งการฟอกอากาศอะไรแบบนี้ ก่อนที่คุณจะไปลงทุนซื้อเครื่องฟอกอากาศกันจริงจังต่อไปถ้าหากว่าคุณเห็นฝุ่นที่ติดกับแผ่นฟิลเตอร์อันนี้แล้วกลัวขึ้นมานั่นเอง หรือในทางกลับกันคุณติดแผ่นฟิลเตอร์ของสามเอ็มแล้วปรากฏว่าก็ไม่ได้มีฝุ่นอะไรให้เห็นดำๆที่แผ่นฟิลเตอร์ คุณก็อาจไม่ต้องซื้อเครื่องฟอกอากาศมาก็ได้ เพราะงั้นแล้ว อย่างว่า ถ้าหากว่าเป็นผม ผมก็จะแนะนำให้คนทั่วไปเอาแผ่นแบบนี้มาติดดูก่อนอยู่ดี จะได้ไม่ต้องกลัวอะไรมากเกินไป

หมายเหตุ : ผมเห็นมีขายเจ้าฟิลเตอร์ 3M ตัวนี้ที่ Big C ราคาหนึ่งแถมหนึ่งแค่ประมาณ 299 THB.-/pack เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าหากว่าคุณเจอราคาในเน็ตอาจจะแพงกว่านี้ครับ

เครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับการใช้งานแบบฉลาดๆต้องทำอะไรได้บ้าง ?

โดยสรุปคือมันต้องทำงานได้ด้วย Logic ต่อไปนี้น่ะครับคือ มันต้องมีเซนเซอร์เพื่อทำงานได้เองอัตโนมัติ และเราสามารถกำหนดเวลาเพื่อเปิดปิดเครื่องได้ เพื่อให้เครื่องทำงานได้ในเฉพาะที่เราต้องการเท่านั้น หรือทำการตรวจจับค่าเพื่อให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้ตามเวลาที่เราต้องการ ส่วนเวลาอื่นๆที่เราไม่ได้ต้องการที่จะควบคุมค่าฝุ่นละอองในอากาศ เราก็ไม่ต้องให้เครื่องเดิน และ แน่นอนว่าทั้งหมดต้องทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติทั้งหมด โดยเรากำหนดตั้งค่าแล้วเราก็ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันอีก มาดูกันน่ะครับว่าทำไม ผมถึงว่ามันต้องเป็นแบบนี้ถึงจะ Make Sense ในการใช้งานกัน

เครื่องฟอกอากาศต้องมีเซนเซอร์ตรวจวัด : เหตุผลหลักคือ เราไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ปริมาณฝุ่นขนาด 2.5 มันเยอะหรือน้อยและ เราก็ไม่สามารถรับรู้ได้จากจมูกหรือปอดของเราได้โดยตรง ทำให้เครื่องต้องมีอุปกรณ์ตรวจวัดพวกนี้ติดตั้งเอาไว้ในเครื่องฟอกอากาศ เมื่อเครื่องฟอกอากาศมันรับรู้ว่ามีระดับฝุ่นมากกว่าค่าหนึ่งๆ มันพึงทำงานเอง โดยการปรับความแรงของการทำงานให้เข้ากับระดับปริมาณฝุ่นที่เกินกว่าค่าที่รับได้ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องให้คนไปกดแต่อย่างใด ส่วนมากโหมดนี้จะตั้งชื่อโหมดกันว่าโหมดอัตโนมัติ (AUTO) คุณลองคิดดูซิครับว่า ถ้าหากว่าคุณเลือกเครื่องฟอกอากาศที่มันไม่มีเซนเซอร์ในการตรวจวัด จะมีเหตุผลอะไรในการใช้งานกันล่ะ เพราะว่า ตัวคุณเองก็ไม่รู้ว่าปริมาณฝุ่นมีมากน้อยเพียงใด มันมากเกินกว่าค่าที่กำหนดว่าปลอดภัยแล้วหรือไม่ หรือ มันต้องปรับเครื่องฟอกอากาศให้มีอัตราการดูดลมมากหรือน้อยเพียงใดกัน เพียงเหตุผลแค่นี้ คุณก็น่าจะเห็นความสำคัญของโหมด AUTO สำหรับเครื่องฟอกอากาศที่ผมแนะนำแล้วนะครับ

เครื่องฟอกอากาศจะต้องมีปริมาณการดูดอากาศมากเพียงพอกับพื้นที่ห้องของคุณ​: ส่วนมากแล้วที่เครื่องฟอกอากาศจะบอกขนาดพื้นที่ห้องที่เหมาะสมสำหรับการดูดอากาศเอาไว้เป็นสเป็กหนึ่งสำหรับตัวเครื่องอยู่แล้ว โดยมากจะบอกมาเป็นหน่วยตารางเมตร แต่ถ้าหากว่าห้องของคุณมีขนาดที่ใหญ่กว่านั้นจริงๆแล้วก็ไม่ค่อยเป็นปัญหานัก เพียงแต่อัตราการดูดที่สัมผัสกับขนาดของห้องจะทำให้เครื่องฟอกอากาศทำงานได้เห็นผลเกิดประสิทธิิภาพในการฟอกอากาศได้มากที่สุดก็เท่านั้นเอง แปลว่า ถ้าหากว่าห้องใหญ่กว่านั้น คุณมีทางเลือกอยู่สองอย่างคือ คุณติดตั้งเครื่องเดียวด้วยงบประมาณค่าเครื่องฟอกอากาศที่คุณอยากจะจ่ายนั่นแหละ แต่ระหว่างที่เครื่องทำงาน คุณอาจจะเปิดระบบหมุนอากาศอื่นๆ เพื่อให้อากาศในห้องเกิดการวนได้ทั่วทั้งห้อง เช่น อาจจะเปิดแอร์หรือเปิดพัดลมไปด้วย แค่นี้ก็ทำให้เครื่องฟอกอากาศสามารถฟอกอากาศได้ทั่วถึงทั้งห้องแล้วแม้ว่าห้องนั้นจะมีปริมาตรอากาศมากกว่าความสามารถในการดูดอากาศของเครื่องก็ตามที แต่สำหรับคนที่คิดว่ามันไม่แน่ใจเพราะ เค้าแนะนำเครื่องฟอกเทียบกับขนาดห้องมาแล้วคิดว่าอยากจะเลือกเสป็กเครื่องฟอกให้เหมาะกับห้อง คุณมีสองทางเลือกด้วยกันน่ะครับ คือ เลือกให้เครื่องฟอกอากาศมีขนาดเพียงพอต่อพื้นที่ห้องของคุณโดยเป็นการปรับขนาดเครื่องใหญ่ขึ้นกว่าเดิม (เลือกรุ่นที่ตัวใหญ่กว่าเดิม วัตต์มากกว่าเดิมตามเสป็กแนะนำของเครื่องฟอกอากาศเหล่านั้นเสีย) หรือ ทางเลือกที่สองที่ผมเองมักจะแนะนำสำหรับห้องขนาดใหญ่ก็คือ การเลือกซิ้อเครื่องฟอกให้มากกว่าหนึ่งตัวโดยติดตั้งในห้องเดียวกันนั่นน่ะแหละ เพราะ สังเกตุได้หรือเปล่าครับว่า ถ้าหากว่าคุณเลือกใช้เครื่องฟอกอากาศตัวเดียว แต่ห้องคุณใหญ่มาก แล้วอากาศมันจะเวียนอย่างไหรให้ทั่วได้ล่ะ ขนาดการติดตั้งแอร์สำหรับห้องขนาดใหญ่เค้ายังต้องออกแบบให้มันอยู่กลางห้องแบบติดฝ้า และมีใบพัดเป่าสี่ทิศทาง (หรือทุกทิศกันเลยก็ว่าได้) แล้วยังมีการปรับทิศทางในการกระจายความเย็นเลย แล้วนี่ภาษาอะไรกับการดูดาอากาศเข้าเครื่อง ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าเครื่องแม้ว่าจะมีกำลังความสามารถในการดูดมาก ถ้าหากว่าอัตราการดูดเท่ากันกับเคร่ื่องสองเครื่องแบบกระจายตัวอย่าง การใช้เครื่องแบบกระจายตัวในห้องน่าจะให้ผลการดูดฟอกอากาศได้ดีกว่าอยู่ดี เอาเป็นทางเลือกเป็นเรื่องที่คุณต้องเลือกเอง แต่ว่าส่วนตัวผมเชียร์ให้เป็นสองตัวที่กระจายตัวมากกว่า

เครื่องฟอกอากาศแบบ AUTO และมีเซนเซอร์นั้น ยังต้องกำหนดตั้งเวลาเปิดปิดได้เองอีกด้วย : มันมีเหตุผลก็คือ เรื่องการประหยัดแผ่นกรองด้านใน ลองคิดดูแล้วกันน่ะครับว่า เราไม่น่าจะฟอกอากาศตลอดเวลาหรอกหากเรามี Routine ของเวลาที่แน่นอน เช่น ห้องนอนก็ไม่น่าจะต้องฟอกอากาศในเวลากลางวันสักเท่าไหร่เพราะว่า ถ้าหากว่าฟอกไปก็ไม่ได้มีคนอยู่อาศัยอยู่ดี ให้เลือกที่จะเปิดระบบ AUTO ตั้งแต่ช่วงก่อนเย็นก่อนที่เราจะกลับมาใช้ห้องก่อนหน้าสักประมาณ 1 ชั่วโมงเพียงเท่านั้นเมื่อคุณกลับมาที่ห้อง ห้องก็พร้อมที่จะมีอากาศที่ดีเพียงพอต่อการอยู่อาศัยแล้ว เป็นต้น การที่มันตั้งเวลาเปิดปิดเครื่องได้เพื่อให้เข้ากับ Life Style ของตัวเองในการใช้งานห้องนั้นๆ มันจะทำให้ประหยัดตัวกรองด้านในของเครื่องฟอกได้เป็นอย่างดี ถ้าหากว่าคุณเปิดตลอดอาจจะมีอายุการใช้แผ่นฟอกเพียง 6 เดือนเมื่อคุณเปิดใช้ตลอดเวลา แต่ถ้าหากว่าคุณกำหนดระยะเวลาเปิดใช้งานเพียงครึ่งหนึ่งแปลว่าแผ่นกรองฟอกนี้จะมีระยะเวลาการใช้งานได้ยาวนานถึง 1 ปีกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าประหยัดกันไป 50% กันเลยก็ว่าได้ และ มันก็ไม่ได้ทำให้คุณได้รับอากาศที่ฟอกแล้วด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย

ขอให้แน่ใจว่าอย่างน้อยมันมีฟิลเตอร์ที่เป็น HEPA เป็นอย่างน้อยเพื่อกรอง PM2.5 ได้ : ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นพื้นที่ฐานสำหรับเครื่องฟอกอากาศปกติที่เราเน้นเพื่อฟอกอนุภาคขนาดเล็กที่แอร์ปกติจะไม่สามารถทำได้ และ ให้มองว่าเรื่องอื่นๆนั้นถือได้ว่าเป็น Options เสริมเสียมากกว่า เช่น เครื่องมันอาจจะมีคาร์บอนเพื่อดูดซับกลิ่นได้ หรือเครื่องมันอาจจะสีชั้นที่เป็น Antibac เพื่อจำกัดพวกแบคทีเรียในอากาศได้อีก หรือ มันจะเป็นพวกสารอื่นๆที่ดูดซับฟอมาลดีไฮด์ได้ดี หรืออะไรประมาณนั้น ซึ่งที่เป็นส่วนเพิ่มเติมขึ้นมานั้นถือได้ว่าเป็นออฟชั่นว่า มันจะเหมาะกับ Life Style หรือสภาพห้องหับของคุณหรือเปล่า ถ้าหากว่าคุณเป็นบ้านเก่าแล้ว ไม่มีวัสดุอุปกรณ์อะไรใหม่เข้าบ้านก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องแคร์เรื่องสารฟอมาลดีไฮด์อะไร เป็นต้น

แล้วพวกที่เค้าโฆษณาว่าปล่อยประจุเพื่อจับฝุ่นล่ะ มันต้องมี ฟังก์ชั่นแบบนี้ด้วยเหรอเปล่า ? ผมเคยมีพัดลมยี่ห้อหนึ่งเป็นแบบทาวเวอร์ดูดอากาศแล้วดันออกที่ด้านหน้าของเครื่องพัดลม แล้วมันโฆษณาว่า มันปล่อยประจุลบออกมาด้วยเพื่อจับกับฝุ่นในอากาศแล้วตก ทำให้อากาศสะอาดขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่า ทดสอบแล้วใช้ได้ผลจริงๆ ก็คือ มันพ่นประจุรอบเครื่องและฝุ่นก็จะกองอยู่รอบเครื่องที่พื้นเช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้ มันก็จะทำให้พื้นสกปรกไปหน่อยและก็มีความเสี่ยงที่ว่าฝุ่นเหล่านั้นถ้าหากว่ามันแห้งหรือประจุอ่อนตัว มันก็กลับตัวเป็นฝุ่นออกมาได้อีก ผมเลยไม่ค่อยเห็นว่าการใช้ประจุร่วมด้วยจะดีไปกว่าการใช้แผ่นกรองสักเท่าไหร่ แต่จริงๆมันก็ดีอยู่ก็คือ มันทำให้แผ่นกรองทำงานน้อยลง เพราะ ฝุ่นจับตัวกันเองแล้วตกไปที่พื้นทำความสะอาดออกได้เลยก็ทำให้ฝุ่นเหล่านั้นไม่เข้าไปเกาะที่ฟิลเตอร์กรองด้านในนั่นเอง ก็แล้วแต่น่ะครับว่า อยากจะให้สภาพเป็นอย่างไร เพราะ คุณก็ต้องมีชีวิตอยู่กับเจ้าพวกเครื่องพวกนี้ในห้องเดียวกับมันน่ะครับ ผมไม่ได้บอกว่าระบบปล่อยประจุไม่ดีอะไรน่ะครับ ถ้าหากว่ามันมีมันก็ดีกว่าไม่มีอยู่แล้วล่ะของแบบนี้

ให้ทำการศึกษาก่อนว่าสามารถหาซื้อแผ่นฟอกอากาศต่างๆด้านในได้หรือไม่ และ ราคาแผ่นฟิลเตอร์ที่ต้องเปลี่ยนต่างๆมันราคาเท่าไหร่ : คุณรู้หรือเปล่าว่าเครื่องฟอกอากาศจะมีชิ้นส่วนที่ใช้แล้วเสียไปเรื่อยๆจากการใช้งาน คือ มันจะเสื่อมและ มันจะเป็นต้นทุนต่อไหนสำหรับการใช้เครื่องฟอกอากาศเหล่านี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อุปกรณ์ที่จะต้องเปลี่ยนแน่นอนก็คือ พวกฟิลเตอร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบแผ่นกรอง HEPA หรือ ถ้าหากว่ามันมีส่วนของถ่านกัมมันต์แยกส่วนขายออกมา คุณก็ต้องหาซื้อมาแทนของเก่าได้เหมือนกัน ไม่อย่างงั้นแล้ว มันก็จะไม่ทำงานหรือดีไม่ดีเป็นอันตรายกว่าเดิมอีกต่างหากว่าถ้าหากว่าถ่านมันเกิดหมดอายุจากการไม่ได้เปลี่ยนเป็นระยะเวลานาน คุณต้องรู้ว่าถ้าหากว่าแผ่นเหล่านี้หมดสภาพแล้วในรอบแรก คณต้องมีที่จะสามารถหาซื้อมาแทนของเก่าได้อยู่เสมอ ทำให้นี่เป็นปัจจัยหนึ่งว่าเรื่องแบรนด์ของสินค้าอาจจะเริ่มมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกเครื่องฟอกอากาศในตอนแรกสุดนั่นน่ะแหละ แต่อย่างว่าล่ะครับ คุณเลือกจากแบรนด์แต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เพราะ เมื่อสิบกว่าปีก่อนผมมีโอกาสได้ซื้อเครื่องฟอกอากาศอยู่แบรนด์หนึ่งแล้วปรากฏว่า ใช้ได้สักพักแล้วก็คนจำหน่ายก็บอกว่า เค้าไม่มีจำหน่ายแผ่นกรองสำหรับเครื่องรุ่นเก่าแล้ว และคุณถ้าหากว่าอยากจะใช้เครื่องสินค้าของแบรนด์เขาต่อไปก็ให้เลือกซื้อเป็นรุ่นใหม่แทน ซึ่ง.. มันไม่ใช่เรื่อง ! เพราะงั้นแล้ว ผมแนะนำว่าการที่สินค้าประเภทนั้นๆมีการผลิตออกมานานมากแล้ว หรือเป็นรุ่นที่ผลิตออกมานานเกินไปแล้ว อาจจะมีความเสี่ยงในเรื่องประมาณนี้ได้ทำให้คุณอาจจะต้องเสียเงินซื้อเครื่องฟอกอากาศเครื่องที่สองแบบจำใจและยอมจำนน เพราะไม่รู้จะหาซื้อฟิลเตอร์แบบรุ่นเดิมได้อย่างไรแล้วนั่นเอง

นอกจากนี้ แนะนำให้ถามผู้จำหน่ายด้วยว่า มันจะต้องเปลี่ยนแผ่นฟิลเตอร์บ่อยแค่ไหน เพราะ นั่นคือต้นทุนในการใช้สินค้าประเภทนี้ในระยะยาว เช่น ปีหนึ่งเปลี่ยนสองครั้งก็แปลว่านั่นน่ะแหละครับต้นทุนค่าฟิลเตอร์เครื่องฟอกอากาศ และ ต้องจ่ายไปตลอดระยะเวลาที่คุณใช้เครื่องฟอกอากาศนั่นเอง ทั้งนี้ไม่รวมกับค่าไฟฟ้าในการใช้งานเครื่องแต่อย่างใด (ซึ่งผมว่าเรื่องค่าไฟฟ้าไม่ค่อยเป็นประเด็นสักเท่าไหร่เพราะว่ามันไม่ได้เปิดตลอดเวลาและมันก็ไม่ได้กินไฟฟ้าสูงสุดตลอดการใช้งานแต่อย่างใด)

ข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศแบบปล่อยประจุ

คุณอาจจะเคยเห็นว่าเครื่องฟอกอากาศบางรุ่นจะมีคำว่า ionizer หรือ สร้างประจุบวกหรือลบก็แล้วแต่ นั่นก็คือ การทำงานแบบเดียวกันทั้งหมด โดยมันมีข้อดีก็คือประจุที่กระจายออกไปนี้มันจะไปจับกับอนุภาคอากาศขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็น PM2.5 หรือหนักกว่านั้นพวก PM10 มันก็เข้าไปจับหมด แต่อย่างที่คุณน่าจะพอเดาได้ การที่มันเข้าไปจับติดกับฝุ่นขนาดเล็กพวกนี้ มันเป็นการเพิ่มคุณลักษณะของฝุ่นเหล่านี้ให้เกิดความเป็นประจุในทิศทางหนึ่งๆ แล้วหลังจากนั้น เมื่อมันไปเจอกับพวกฝุ่นเหมือนกัน มันก็จับก้อนกันได้และหนักตัวจนไม่สามารถลอยฟุ้งในอากาศได้อีกต่อไป และ การที่มันมีประจุแบบนี้ เมื่อเจอกับพื้นผิวใดๆมันก็จะไปดูดติดจับกับวัตถุหรือฝนังหรือพื้นได้นั่นเอง โดยรวมมันแปลว่า แต่เดิมฝุ่นพวกนี้มันไม่ตกพื้น ถ้าหากว่าคุณมีไอออนพวกนี้ ฝุ่นมันก็จะสามารถตกพื้นหรือผนังได้ แล้วก็ให้คนมาปัดกวาดเช็ดถูออกที่พื้นแทนยังไงล่ะครับ แน่นอนว่า มันก็ดีกว่าลอยค้างเติ่งในอากาศแล้วไหลเข้าจมูกลงปอดอยู่ดี พวกการปล่อยประจุพวกนี้ มันมีน้ำหนักประจุเบาเอามากๆ ทำให้ประจุสามารถลอยไปได้ในพื้นที่ห้องที่ทั่วถึง มันไม่เหมือนกับอัตราการดูดอากาศให้ไหลผ่านแผ่น HEPA นะครับ มันเป็นคนละแบบกันอย่างที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วครับ ดีไปกว่านั้นคือ ไออ่อนพวกนี้มันยังเข้าไปทำลายสารเคมีในอากาศอื่นๆได้อีกด้วย และดีดีไปกว่านั้นอีก มันยังสามารถไปทำลายเชื้อโรคเยอะชนิดมากในอากาศได้อีกต่างหาก ! อะไรจะดีขนาดนั้น ซึ่งแค่ HEPA เฉยๆจะทำอะไรพวกนี้ไม่ได้เลยน่ะครับ (แต่มันจะติดไปที่ถ่านกัมมันต์แทน ซุึ่งปกติแล้วแผ่นฟิลเตอร์ที่ขายพร้อมกับ HEPA ก็จะมีชั้นถ่านกำมันต์อยู่แล้วล่ะครับ)

เล่าข้อดีให้ฟังแล้ว ผมอยากจะแอบบอกข้อเสียของฟังก์ชั่นการปล่อย Negative ion พวกนี้ให้คุณได้รู้ด้วยน่าจะดีกว่า เพราะ ทำให้คุณเลือกและตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าเครื่องฟอกอากาศได้ดีขึ้นไปอีก คือ ข้อเสียของประจุพวกนี้คือ ตอนที่มันสร้างมันดันปล่อยก้าซโอโซนออกมาด้วยซิ ซึ่งจริงๆแล้ว มันเป็นก๊าซที่อันตรายหากได้รับเป็นปริมาณความเข้มข้นมากกว่าค่าหนึ่งๆ ฟังดูเหมือนจะน่ากลัว แต่จริงๆแล้วผู้ผลิตสินค้าพวกนี้จะมีการออกแบบเอาไว้ว่า จะไม่ทำให้ปริมาณโอโซนที่ผลิตออกมานั้นมากกว่าเกินค่าที่ปลอดภัยออกมาจากเครื่องอยู่ดี ดังนั้นแล้ว ขอให้วางใจได้ว่า การที่มีประจุปล่อยออกมาแบบนี้ มันก็ยังคงปลอดภัยในการใช้งานอยู่ดี แต่หากคุณคิดว่าไม่เอาดีกว่าแบบไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องอะไรพวกนี้เลยก็แนะนำว่าไม่ต้องไปหาเครื่องที่ปล่อยประจุมาใช้ก็ได้เหมือนกัน ไม่ผิดไม่ถูกอะไรแล้วแต่ไอเดียของแต่ละคนว่ามองเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร

สรุปแล้วเอาเครื่องฟอกอากาศรุ่นไหนดีล่ะนั่น !?

ถ้าหากว่าตอนนี้จะให้บอกรุ่นว่าเอารุ่นไหนดีผมไม่อยากจะฟันธงให้สักเท่าไหร่เพราะรุ่นที่ใช้อยู่ ที่อยากแนะนำก็ไม่มีให้คุณเลือกซื้อกันแล้ว มันขาดตลาดหนักเอามากๆ เพราะงั้นแล้ว แนะนำว่าซื้อเครื่องไหนก็ได้แล้วล่ะครับกับสภาพแบบนี้เพื่อให้คุณผ่านภาวะนี้ไปได้ก่อนครับ เข้าไปลุยซื้อกันได้เลยในลาซาด้าจากลิงค์นี้ครับ http://bit.ly/lazada-air-purifier

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *