ผมมีโอกาสได้เดินทางด้วย uber เป็นครั้งแรกด้วยรหัสลับที่ผมใช้คือ “uberget300freeride“ เหมือนกับมันเป็นเกมส์อย่างหนึ่งสำหรับคนที่อยากจะลองน่ะครับ ว่าจะทำยังไงก็ได้เพื่อให้เราได้เครดิตในการนั่งรถ UBER มากระดับที่ว่าคนทั่วไปทำไม่ได้ คือ แต่ละ User ที่สร้างใหม่นั้นจะมีโอกาสทำการ promote Uber ให้คนได้ลอง (คนอื่นที่ได้รับรหัสไปจะต้องลองขึ้นนั่งจริงๆเท่านั้น แค่สมัครเฉยๆเครดิตจะไม่ได้น่ะครับ) และนั่นคือ ความท้าทายใหม่ ที่คนอยู่ว่างๆหน้าเว็ปอยากจะลองของครับ ถ้าอย่างงั้น เริ่มต้นเราต้องรู้จักเสียก่อนว่า Uber คืออะไรกันแน่
uBer คืออะไรกันล่ะนั่น ?
คำถามแรก ที่คุณจะต้องเข้าใจก่อนว่า สินค้าหรือบริการที่กำลังจะโปรโมตให้ฟรีๆ เพื่อแลกกันเครดิตที่เอาไปนั่งรถฟรีของเค้าได้นั้น มันคืออะไรกันแน่ และเหมาะกับกลุ่มตลาดแบบใดกัน เพราะงั้นผม ของแนะนำ uBer อย่างเป็นทางการเสียก่อน ก่อนที่จะเข้าเรื่องว่าทำอย่างไรเพื่อให้ได้เครดิตฟรีๆกันให้ได้ครบ 15000 บาทก็แล้วกันน่ะครับ uBer คือบริการเรียก รถรับส่ง ที่ทำตัวเหมือนกับบริการของแท็กซี่ แต่ว่า มันแพงกว่าอย่างน้อยก็ 1 เท่าตัว และคิดขั้นต่ำ 75 บาทต่อหนึ่งทริปครับ โดยเฉลี่ยจากการทดสอบของคนทั่วไป จะเห็นได้ว่า จะมีราคาค่าบริการที่แพงกว่าแท็กซี่อย่างน้อย 1 เท่าตัว คือ ปกติจ่ายเงินเพื่อการเดินทาง 200 บาท แต่ว่าถ้าหากว่าเสียเงินให้กับรถประเภทลีมูซีนพร้อมคนขับแบบนี้จะ เสียเงินก็ 400 บาทโดยประมาณน่ะครับ แน่นอนว่าความต่างๆ คือ รถที่เอามารับ จะเป็น Benz E-Class หรือว่า Toyota Camry เป็นอย่างน้อย เพื่อทำให้เกิดความแตกต่างจากแท็กซี่นั่นเอง
ความแตกต่างของอัตราค่าบริการโดยสารระหว่าง uBer และ Taxi
สำหรับประเทศไทยบ้านเราแล้ว ค่าแท็กซี่ถือว่าไม่แพงเท่าใดนัก และมีค่าบริการมีแนวคิดว่า ถ้าหากว่าเดินทางไกลเท่าไหร่จะมีค่าบริการต่อระยะทางที่เพิ่มขึ้นมากขึ้นเท่านั้น เหมือนว่าการออกแบบช่วงราคานั้นกำหนดมาเพื่อให้มีการเดินทางระยะสั้นเอาไว้ จะทำให้ผู้ใช้บริการได้ราคาที่ดีกว่า และ จะเสียเงินมากขึ้นเมื่อมีการเดินทางทีไ่กลขึ้น ไม่เข้าใจเหตุผลสักเท่าไหร่ว่า ทำไมฐานราคาถึงได้มีการกำหนดแบบนี้ หรือเป็นเพราะ ทำให้แท็กซี่เดินทางพลัดถิ่นเพื่อมาเข้าอู่ไกลกว่าเดิมอย่างงั้นหรอกหรือ (แต่คิดไปคิดมาก็เดาเอาว่าไม่น่าจะเหตุผลอีกนั่นน่ะหละ) แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเอาเป็นว่า ถ้าหากว่าอยากจะเทียบราคาแท็กซี่ให้เข้าไปที่หน้า Taxi Calculator เพื่อประเมินว่าระยะทางและเวลาที่จะใช้ในการเดินทาง ถ้าหากว่าเราเลือกที่จะเดินทางด้วยแท็กซี่แล้ว จะเสียเงินสักเท่าไหร่ เฉลี่ยแล้ว จะเสียเงิน 6 บาทต่อกิโลเมตรที่เพิมขึ้นจาก 35 บาทแรก และ จะเสียเงินถ้าหากว่ารถจอดหรือวิ่งความเร็วต่ำกว่า 6 km/hour คือ 1.50 บาทต่อนาที กรณีตัวอย่างการเดินทาง 10 km และกินเวลา 20 นาทีในการเดินทางจะเสียเงิน ประมาณ 111 บาท – สำหรับแท็กซี่ธรรมดา
แล่ถ้าหากว่ามาดูของ uBer บ้างจะมีการคิดเงินที่ตรงไปตรงมามากกว่า คือ คิดตามระยะทางที่ 9.20 บาทต่อกิโลเมตร และ เสียเงินในการเดินทางต่อนาทีที่ 2.50 บาทต่อนาที (เรียกง่ายๆว่าถ้าหากว่าเดินทางนานเท่าไหร่ก็จะเสียเงินมากเท่านั้น แบบ ไม่ได้ติดเฉพาะเวลาที่จอดรถอย่างเดียว จะวิ่งหรือไม่วิ่ง ก็เหมาหมด แปลว่า เราจะเสียเงิน 250 บาทถ้าหากว่าเรามีการเดินทางด้วยรถ UBer หนึ่งชั่วโมงนั้นเอง ) นอกจากนี้ ราคาที่ว่านี้จะเสียเงินทันที เมื่อเรียกรถคือ 45 บาทต่อการเดินทางหนึ่งครั้งทันที เรียกง่ายๆแปลว่าถ้าหากว่าเราเรียกแล้วขึ้นรถแล้ว เดินทางแค่ 10 เมตร เราจะโดนเก็บเงิน 75 บาททันที เพราะ เค้าคิดง่ายๆ ว่าถ้าหากว่าการเดินทางครั้งนั้น 45 บาทแรกเริ่ม แล้ว ยังไม่ทันคิดค่าเวลา ค่าระยะทางอะไร จะมีการเรียกเก็บเงินขั้นต่ำไว้ที่ 75 บาท (แปลว่าถ้าหากว่าเราเรียกมาแล้ว เราอย่างน้อยต้องเสียเงิน 75 บาทแน่นอน) สำหรับกรณีตัวอย่าง เช่น การเดินทาง 10 km และกินเวลาเดินทาง 20 นาที จะเสียเงิน ทั้งหมด 45 + (10*9.20) + ( 2.50*20) = 187 บาท –
จะเห็นได้ว่าจากกรณีตัวอย่างที่ลองให้ดู จะพบได้ว่า ด้วยระยะทางการเดินทางที่ผมทางเดินประจำรัศมีแถวบ้าน 10-13 km ต่อการเดินทางนั้น ระยะไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก เพราะรถไม่ติดสักเท่าไหร่ คือ ต่างกันที่ 187 – 111 = 76 บาทเท่านั้นเรียกได้ว่า คุ้มค่าต่อการ upgrade บริการเป็นอย่างมาก แต่ สำหรับคุณๆแล้ว ลองคิดเลขเล่นๆดูก่อนว่าความแตกต่างจะมากน้อยเท่าไหร่ในระยะทางที่คุ้นเคย เพื่อประเมินได้ว่า ราคาที่สูงกว่าเดิมนั้น คุ้มค่ากับการใช้งานหรือไม่ อย่างไร
ข้อดีบางประการของ uBer
แน่นอนว่า มันจะดีกว่าถ้าหากว่าคุณมีเงินหรือพอใจที่จะจ่ายเงินที่มากกว่า บริการแท็กซี่ทั่วไป เพราะ perception ของคนไทยทั่วไปกับแท็กซี่คือ พวกนี้เป็นพวกคนอันตราย มีคดีติดตัวหรือว่า ต้องระวังตัวให้มากถ้าหากว่านั่งแท็กซี่ แน่นอนผมบอกแบบนี้ไม่ได้แปลว่า จะต้องเป็นแบบนี้ทุกคนที่ไหนกันล่ะครับ แต่ว่านั่นคือ มุมมองจากคนที่แท็กซี่ไม่ค่อยบ่อยสักเท่าไหร่เพราะ กลัว ! คนขับแท็กซี่เหล่านี้และมองว่า การนั่งนั้นไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่ หรือ แม้แต่ว่าการขับขี่ คนขับรถด้วยกันจะเห็นว่าคนที่ขับแท็กซี่จะเป็นพวกนักเลงถนน คือ คนอื่นต้องหลบแท็กซี่มากกว่าที่แท็กซี่จะหลบรถทั่วไป เหมือนว่ารถไม่มีอะไรจะเสีย เป็นรถคนอื่น และแย่กกว่านั้นคือ ขับรถด้วยความไวสูง เหมือนว่าชีวิตไม่มีค่าสักเท่าไหร่เหมือนกับคนอื่นๆ (รองจากเด็กแว้นและวินมอเตอร์ไซด์) อย่างว่าล่ะครับ คนที่ขับรถดี มีน้ำใจและ ช่วยเหลือสังคมที่หมู่แท็กซี่นั้นก็มีมากเหลือเกิน แต่ด้วยคนบางคนเท่านั้น ที่ทำให้ภาพลักษณ์เสียหายไปทั้งหมด ซึ่งคนไทยด้วยกันนั้นรับได้กับมาตราฐาน หรือโอกาสที่เราจะเจอคนไม่ดีสักเท่าไหร่ในการให้บริการดังกล่าว แต่อูเบอร์ มันแตกต่างอย่างไร คนดีกว่าอย่างงั้นหรือ แท้ที่จริง แล้วผมว่า uBer ไม่ได้แตกต่างในเรื่องคนสักเท่าไหร่นัก แต่ว่าเป็นเรื่องของการจัดการข้อมูลเสียมากกว่า คือ คนขับรถ เราจะมี ข้อมูลพร้อมในมือถือตอนที่เรียกรถไว้ก่อนหน้าเลย และ มีการติดตามได้แน่นอนว่ารถเดินทางไปไหนผ่าน application ของคนขับรถ เพื่ออย่างน้อยก็ทำให้อุ่นใจได้อีกระดับหนึ่งว่า มีการเก็บข้อมูลการเดินทางจริงๆผ่าน server ใน internet ไม่ได้ลอยๆ หรือใช้ระบบ gps ที่ไม่ได้บอกว่าจะสามารถเข้าไปดูได้อย่างไรกันแน่ และ ที่แน่ใจได้กว่านั้นคือ สภาพของรถ จะต้องดีกว่าสภาพของแท็กซี่แน่นอน อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องด้วย การเรียกราคาระดับนี้ภาพลักษณ์ของการบริการจะต้องดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใส่เสื้อผ้าของคนขับรถ หรือ คลื่นวิทยุ จะต้องไม่ฟังหมอลำระหว่างการเดินทาง หรือ มากไปกว่านั้นจะต้องไม่คุยเรื่องการเมือง ศาสนากับลูกค้าเพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะกัน และ เราต้องเป็นนายระหว่างการเดินทางตลอดเส้นทาง
uBer จะเหมาะกับใคร ?
uBer จับกลุ่มตลาดคนที่คิดว่า แท็กซี่ มันแย่ ! และไม่สามารถที่จะเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่มีรถไฟฟ้าเพื่อการเดินทางได้ ต้องเดินทางด้วยรถยนต์เท่านั้น และ มีเงินเพียงพอจะที่ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางแบบไม่บ่อยครั้งนั้นได้ ด้วยความคาดหวังบริการและสภาพรถที่ดีกว่า และอีกพวกที่อยากจะได้ความปลอดภัยในการเดินทางทั้งจากการขับขี่ของคนขับรถ และ จากความเป็นคนปกติดีของพนักงานขับรถ
การเดินทางของ supplier และ ลูกค้าทางธุรกิจ
ปกติแล้ว ห้างร้านหรือ บริษัทจะมีการติดต่อกับลูกค้าต่างประเทศ และ จะต้องให้คนรถไปรับ หรือเรียกได้ว่าจะต้องจัดคิวคนรถเพื่อไปรับส่งคนที่เราต้องการจะดูแลเหล่านี้ แต่ว่า uBer จะทำหน้าที่นี้แทนได้ดี เพราะ เราเป็นคนจ่ายเงินได้เมื่อลูกค้่าเดินทางถึงปลายทางได้อย่างปลอดภัย เพราะมันเก็บเงินมาที่เครดิตการ์ดของบริษัทได้นั่นเอง เรียกได้ว่า ไม่ต้องให้ลูกค้าออกเงินค่าเดินทางที่มาหาเราถึงที่บ.แต่อย่างใด และ เราส่งลูกค้าโดยไม่ต้องจ้างคนขับรถพนักงานที่บ.เราเลยแม้แต่น้อย หรือว่าให้พนักงานเราไปทำงานอื่นก็ได้ หรือจะคุ้มไปกว่านั้น ถ้าหากว่า บ.นั้นไม่ได้รถยนต์เพื่อการรับส่งคนโดยเฉพาะแล้วอยากจะ service แขกต่างประเทศเพื่อให้การเดินทางประสานงาน ติดต่อค้าขายกับเราทำได้สะดวกและประทับใจ
การเดินทางของผู้สูงอายุ และคนท้อง
ไม่น่าเชื่อว่า รถยนต์แต่ละรุ่นจะมีแรงกระแทกต่อผู้โดยสารในรถไม่เท่ากัน ถ้าหากว่า รถมีการออกแบบมาเพื่อให้นั่งสบายแล้ว คนที่อยู่ในรถจะไม่ได้ความสั่นสะเทือนมากเท่าใดนัก อย่างไรก็ดีถ้าหากว่า คุณเลือกที่จะนั่งแท็กซี๋ธรรมดาแล้ว ความนุ่มคงจะไม่เหมือนกับการนั่งรถแคมรี่เป็นแน่แท้ ทำให้ นี่อาจจะเป็นการเปิดตลาดการเดินทางอีกแบบหนึ่ง เพราะ คนที่ไม่เลือกเดินทางด้วยรถแท็กซี่ แทนการนั่งรถเมล์ก็มีอยู่แล้ว และ ถ้าหากว่ามีตัวเลือกที่ดีกว่าอีก คือการเลือกนั่งรถที่ดีขึ้นไปอีก เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการกระแทกระหว่างการเดินทาง ก็น่าจะมีโอกาสในการใช้บริการเหล่านี้เพิ่มเติมมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ดี เพื่อความปลอดภัยสำหรับคุณแม่มือใหม่ คนท้องและ คนสูงอายุ แนะนำว่าถ้าหากว่าเดินทางแบบส่วนตัวแบบนี้แล้ว อยากให้กำชับเสียหน่อยว่า ต้องการให้ขับให้นิ่มที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้กระแทกกระทั้นตัวคนเหล่านั้นระหว่างการเดินทาง คนขับรถไม่ได้มีต้นทุนอะไรเพิ่มขึ้นหรอก ถ้าหากว่าเขามีหัวใจแห่งกาบริการจริง เรื่องแค่นี้ พนักงานขับรถต้องจัดให้อยู่แล้วล่ะครับ
การเดินทางของคนที่ไม่อยากจะหาที่จอดรถในพื้นที่หาที่จอดยาก
สถานที่หรือพื้นที่ ที่ไม่สามารถจอดรถได้หรือ หาที่จอดรถได้ยากจะทำให้คนจำพวกหนึ่ง อยากจะเดินทางด้วยรถโดยสารครับ ไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่ หรือ จะเป็นบริการแบบอูเบอร์แบบนี้ก็ตาม ทั้งนี้การต้องหาที่จอดรถ หรือต้องไปเสียเงินค่าที่จอดรถแพงกว่าปกติมากจะทำให้คนที่จะต้องทำธุระนั้นรู้สึกว่าไม่อยากจะเสียเงินกับค่าที่จอดรถแบบไร้สาระแบบนี้ทั้งๆที่ การเดินทางด้วยรถบริการอาจจะมีราคาค่างวดมากกว่าเสียด้วยซ้ำ นั่นน่ะหละครับ แต่จริงๆแล้ว ความรู้สึกต่างหากที่มีมูลค่ามากกว่า เพราะ ถ้าหากว่าเรารู้สึกได้ว่า โดนโกง หรือว่าโดนเรียกเก็บเงินอยากไม่เป็นธรรมแล้วล่ะก็ จะทำให้เราเสียความรู้สึกได้มากกว่าการที่คิดแบบมีเหตุมีผลว่าแบบไหนจะเสียเงินมากกว่ากัน หรือ อาจจะมีการพิจารณาได้อีกแบบว่า ถ้าหากว่าเราเดินทางด้วยรถยนต์โดยสารแล้ว จะอยู่ได้นานเท่าใดก็ได้ ไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนไขในใจว่าจะต้องออกจากสถานที่นั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ (เสียดายเงินค่าจอดรถที่คิดเป็นรายชั่วโมงแบบปัดเศษนาทีขึ้นอีกต่างหาก) และ นี่ก็เป็นเหตุผลหลักของผมเองอีกด้วยว่า ทำไมอยากจะใช้บริการอูเบอร์ และ อยากจะได้เครดิตฟรีมาใช้งานกันเยอะๆ เพราะพื้นที่ที่ผมเดินทางไปเรื่อยๆนั้น หลายครั้งค่าจอดรถแพง หรือไม่ก็หาที่จอดยาก ทำให้ไม่อยากไป หรือไม่คิดจะไป แต่ถ้าหากว่าคนที่ขับรถให้และไม่ต้องมาเสียเงินและเสียใจกับค่าที่จอดรถอีกต่างหาก ทำให้ผมมีแนวโน้มจะเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆเหล่านั้นมากขึ้น
การเดินทางชองคนที่ขับรถไม่เป็น ไม่รู้จักเส้นทาง แต่มีเงินเพื่อใช้จ่ายกับการเดินทางไปที่แปลกๆไม่บ่อยมากนัก
คนที่ไม่ค่อยเดินทางสักเท่าไหร่ แต่จะต้องเดินทางไปไหนสักแห่งที่ไม่ค่อยได้เดินทางไป ไม่รู้เส้นทางและ ไม่รู้จะเดินทางไปได้อย่างไร แน่นอนว่าคนเหล่านี้จะไม่เสียเวลามาดูเส้นทางในแผนที่ด้วยซ้ำ เพราะดูไปก็ไม่รู้เรื่องและ ไม่ได้มีเหตุผลที่ดีที่จะต้องศึกษาเส้นทางด้วยตนเอง เพราะตนเองก็ขับรถไม่ได้อยู่ดีนั่นเอง เสียเวลาเปล่าๆ ทำให้คนเหล่านี้เลือกที่จะใช้บริการแท็กซี่แทนการเดินทางด้วยรถประจำทางโดยสารรูปแบบอื่น (แน่นอนว่า ถ้าหากว่ามีความต้องการเดินทางแบบนี้ คนส่วนมากจะไม่เลือกที่จะเดินทางด้วยรถประจำทาง เพราะ มันไม่ได้เป็นการเดินทางประจำเสียหน่อย ไม่ต้องมาประหยัดอะไรแบบนั้นก็ได้)
คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ไม่สามารถเรีกยรถแท็กซี่ได้โดยง่าย (ซอยลึก)
พื้นที่อาศัยเหล่านี้จะมีคนสองพวก คือ พวกที่อยู่ในหมู่บ้านลึก เพราะราคาประหยัดกว่าการที่พื้นที่อยู่ใกล้ถนนใหญ่ หรืออีกพวกคือ พวกที่อยู่อาศัยจากบ้านเดิมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออดเก่าแก่ว่าอย่างงั้น พื้นที่เหล่านี้ อาจจะมีเรียกรถโดยสารได้ยาก และจำเป็นที่จะต้องมีรถส่วนตัวเพื่อใช้ในการเดินทาง แน่นอนว่า คนในบ้านพักเหล่านี้ หากว่าขับรถไม่เป็น จะขาดอิสระในการเดินทางขึ้นมาทันที ทางเลือกตอนนี้ สามารถที่จะเลือกติดต่อกับศูนย์บริการรถแท็กซี่ได้ หรือ ทางเลือกใหม่ที่ตอนนี้เป็นประเด็นก็คือ เลือกใช้บริการ Uber แทนได้ แต่ว่า ไม่แน่ใจว่าคนที่สามารถรับ costing ที่แพงขึ้นกว่าการเรียกแท็กซี่ธรรมดานั้นได้หรือไม่ต่างหาก การประเมินกลุ่มตลาดเชิงนี้จะบอกได้ยากว่าคนเหล่านี้รับต้นทุนใหม่ในการเดินทางนี้ได้หรือไม่ เพราะถ้าหากว่ารับได้ถือได้ว่าก็จะเป็นแค่ลูกค้าชั่วคราวเท่านั้น
เริ่มต้นจากการทำให้ตัวเราเองให้ได้เครดิต 300 บาท จาก UBer เสียก่อน (ก่อนที่จะคิดได้เครดิตหมื่นห้าพันบาท)
วิธีการเริ่มต้นเพื่อให้เราได้เงินเครดิตในการนั่งรถ Uber 300 บาทนั้นง่ายมาก เพราะ ทาง uBer เองตั้งใจเอาไว้อยู่แล้วว่า ระหว่างทีมีการส่งเสริมการใช้งานทั่วไปอยู่นั้นจะแจก เครดิตเท่ากับเงินที่พอให้คนทดลองใช้งานได้ก่อน ทำได้ง่ายๆด้วยวิธีการต่อไปนี้
1. ใช้ สมาทโฟน ไม่ว่าจะเป็นแอนดอยท์หรือว่าจะเป็น iphone หรือแม้กระทั่ง computer ปกตินี่ก็ใช้ได้ แค่เข้าไปที่
https://uber.com/invite/uberget300freeride
2. ถ้าหากว่ากดเข้าไปแล้วภาพจะเป็นดังต่อไปนี้
ถ้าหากว่าเหมือนกับภาพแสดงว่า link ใช้งานได้หรือถ้าหากว่าไม่แน่ใจให้เลื่อนไปที่ด้านล่างแล้ว ถ้าหากว่าช่องให้กรอกรหัส promotion เพื่อให้ได้เครดิตฟรีให้กรอก คำว่า “uberget300freeride”
3. ต่อจากนั้นให้กรอกข้อมูลอื่นๆให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สกุล หรือแม้กระทั่งเบอร์โทรติดต่อ แนะนำว่าเบอร์ติดต่อให้เป็นเบอร์มือถือเครื่องที่ใช้งานเพื่อที่จะเรียก uBer หรือลง application ของ uBer ได้ (เรียกว่าต้องเป็น smart phone นั่นเอง) อันนี้แนะนำว่าให้กรอกจริงๆ เพราะ เมื่อเราเรียกรถแล้ว จะมีพนักงานขับรถติดต่อมาที่เบอร์ดังกล่าว เพื่อยืนยันหรือสอบถาม ถ้าหากว่าเขาเดินทางมารับเราไม่ถูก หรือ ถามตำแหน่งที่จะมารับกันอย่างแน่ชัด
เพียงเท่านี้เราก็จะได้เครดิต เพื่อให้ตัวเราเองออกไปทดสอบการใช้งาน uBer แล้วล่ะครับ ง่ายเกินไปหน่อยน่ะครับ ทีนี้ เรามาดูกันต่อดีกว่า ถ้าหากว่าอยากจะได้ เครดติจาก uBer มากกว่า 300 บาท ไว้คราวหน้าจะสอนเพิ่มเติมว่าทำยังไงต่อน่ะครับ