การมองหา pattern หรือลักษณะความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องที่คนเราคิดสร้างขึ้นมาได้ เป็นความสามารถหา pattern ได้นั้นหรือคาดเดาเอาว่ามี pattern นั้นสามารถกระทำได้ทุกคน โดยไม่จำเป็นต้องสอนกันแต่อย่างใด เพราะ สิ่งเหล่านี้เกิดจากทักษะและเชาว์ปัญญาที่แต่ละคนมีเมื่อแนวคิดเหตุผลและ pattern รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่าเหตุการณ์นั้น ถูกตั้งเป็นกฏ หรือความเชื่อจากตัวเราเมื่อไหร่ มีความเป็นไปได้มากเสียเหลือเกินว่า เหตุผลหรือรูปแบบเหล่านั้นมันเป็นความจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ คนคิดมองเห็นภูมิใจกับสิ่งที่คิดว่าเป็นเหตุเป็นผลนั้นเสียด้วยที่ผมบอกว่ามันเหมือนกับ”ความเป็นจริง”ก็เพราะ มันยังไม่ได้รับการพิสูจน์แน่นอนว่า มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ และการพิสูจน์นั้นก็อาจจะไม่สามารถทำได้หากไม่ได้มีการออกแบบ “การทดลอง” เอาไว้เป็นอย่างดีด้วยเหตุผล ตรรกะที่เหมาะสม หรือเป็นเหตุเป็นผลอย่างแท้จริง
หลายต่อหลายครั้ง ที่เรามักจะคิดว่าเหตุการณ์มีความสัมพันธ์กันด้วยเหตุผลบางอย่างแต่มันไม่ได้เป็นอย่างงั้น
ตัวอย่างที่ตอนนี้ผมคิดได้เพื่อเล่าให้กับคุณได้ฟัง เช่น การซื้อสินค้าประเภทบำรุงกำลัง (ซึ่งคุณอาจจะรู้จักกับ pseudo effect ที่บอกว่าแม้ว่ายานั้นอาจจะไม่ได้มีผลทางกายภาพจริงๆ มันก็อาจจะมีผลต่อจิตใจ และ มันก็จะทำงานได้ดีกับสิ่งที่ “เราแค่รู้สึก” หรือวัดผลไม่ได้ได้ดีทีเดียว) การบำรุงร่างกาย โดยการกินยาหรือทานยายบำรุงอะไรในระยะยาวแล้ว เราไม่รู้ว่าจะวัดค่าหรือผลดังกล่าวนั้นได้อย่างไร ก็จะทำไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ เช่น ถ้าหากว่า ยาบำรุงหนึ่งบอกว่า มันเป็นยาเพื่อป้องกันผมร่วง แต่ว่าคุณต้องกินไปเรื่อยๆ แล้วรอดูผลต่อแก่ คุณอาจจะคิดว่า ถ้าหากว่าเรากินไปเรื่อยๆแล้ว ก็รอดูว่า เมื่อแก่แล้วเราก็มีผมดกดำอยู่นั้น นั่นก็จะเป็นเพราะว่ายาบำรุงผม เหมือนกับที่มีการอวดอ้างสรรพคุณกันอย่างงั้นจริงๆหรอกหรือ ?
ผลลัพธ์ที่ได้เมื่อคุณแก่พอ ที่อาจจะพิสูจน์ได้ก็มีแค่ 1. ผมคุณดกดำดี หรือ 2. ผมคุณไม่ค่อยมีผมสักเท่าไหร่ หรือ 3. ผมร่วงหมดหัว ก็สุดแล้วแต่ว่าคุณจะระบุอะไรว่า แบบนี้เรียกว่าผมดกดำ หรือแบบนี้เรียกว่าผมร่วงไม่ดกดำอีกแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร การที่คุณกินยาไปแล้ว และผลลัพธ์นั้นมี ผลลัพธ์เดียว มันก็จะทำให้คุณไม่อาจจะรู้ได้อยู่ดีว่า การที่คุณผมดกดำดีนั้น มันเป็นเพราะยาที่คุณได้กินเข้าไปตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หรือ มันก็เป็นเพราะว่า สาเหตุอื่นๆ ที่แม้ว่าคุณไม่ได้ทานยาที่อวดอ้างสรรพคุณดังกล่าวเข้าไป มันก็ทำให้คุณผมดกดำได้เองอยู่ดี
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ตัวแปรที่เหมือนกันกับคุณนั้นในโลกนี้กลับไม่มีอีกแล้ว เพราะ คุณเป็นตัวคุณเองแค่คนคนเดียวในโลก ที่มีทุกอย่างเหมือนกับกันคุณในทุกขณะจิต (ถ้าหากว่าคุณคิดว่าคนที่เป็นฝาแฝดแล้วจะเหมือนกันทุกอย่าง ผมว่าคุณก็คิดผิดเพราะว่าแค่พฤติกรรมก็แตกต่างกันแล้ว การกินอาหาร ชอบกินอะไร ไม่ชอบกินอะไรก็ไม่เหมือนกันอีกเหมือนกัน แล้ว คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า อย่างอื่นที่ไม่เหมือนกันนั้นจะไม่มีผล ต่อเรื่องราวที่คุณกำลังศึกษาหรืออยากรู้หรือพิสูจน์อยู่) เมื่อคุณเลือกที่จะใช้ยาที่อวดอ้างสรรพคุณดังกล่าวแล้ว ก็จะไม่มีตัวแปรต้นที่เป็นตัวคุณอีกคนเพื่อที่ทดลองไม่ทานยาดังกล่าวไปอย่างต่อเนื่องได้นั่นเอง แล้วนี่เป็นเรื่องที่พิสูจน์ทราบไม่ได้ หรือวัดผลไม่ได้หากว่าไม่ได้ทำการออกแบบการทดลองเชิงสถิติเอาไว้ให้เป็นอย่างดี
กลับมาประเด็นเรื่องของการจับ pattern หรือรูปแบบที่แท้ที่จริงแล้วมันไม่มีรูปแบบก็ได้ เป็นอีกประเด็นที่ ผมมักจะได้ยินได้ฟังจากโต๊ะพนันหรือคนที่เล่นหวย และแนวคิดการฟอร์มรูปแบบขึ้นมาได้นั้น คุณไม่จำเป็นต้องเรียนสูงเพื่อวิเคราะห์รูปแบบดังกล่าวได้เลย เพราะ แม้แต่เด็กอนุบาลก็สามารถวิเคราะห์รูปแบบเพื่อประเมินหรือคาดเดาได้ว่า มันมีรูปแบบแบบใดได้ และมีคิดว่าเหตุการณ์หรือเหตุผลใดมีความสัมพันธ์กับเหตุผลใดแล้ว หรือ จะให้พูดให้มันดูแย่ไปกว่านั้นก็คือ แม้กระทั่ง “สัตว์” ก็สามารถสร้างความคิดที่เป็นรูปแบบต่อเนื่องและ จับรูปแบบหรือคาดเดาเอาได้ว่า รูปแบบที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องนั้น น่าจะมึความสัมพันธ์อะไรกัน ระหว่างเหตุการณ์หนึ่งกับเหตุการณ์หนึ่ง
เรามักจะได้ยินการทดสอบที่เรียกว่า สั่นกระดิ่งแล้วน้ำลายไหล ที่มีการทดสอบกับสัตว์แล้ว โดยสรุปก็คือ คนสั่้นกระดิ่งก่อนให้อาหารหมาทุกครั้ง แล้วทำไปเรือยๆเพื่อให้สัตว์สามารถรับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การสั่นกระดิ่งและการได้รับอาหารได้ และสุดท้ายเมื่อมีการสั่นกระดิ่งเมื่อไหร่ หมาตัวดังกล่าวที่ได้รับรู้รูปแบบหรือฟอร์มรูปแบบขึ้นมาก็จะมีอาการน้ำลายเหมือนว่าจะได้กินอาหารออกมาทันที ประเด็นนี้ผมแค่ยกมาเมื่อบอกคุณว่า การฟอร์มความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์หนึ่งไปยังเหตุการณ์หนึ่งนั้น แม้แต่สัตว์ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
เมื่อมองที่โต๊ะพนันจะเห็นได้ว่า เจ้าของบ่อนจะมีการให้ข้อมูลในอดีตของการพนันในเกมส์บางเกมส์ที่สามารถโชว์ได้ เช่น รูเล็ตที่คนสามารถแทงได้ว่า มันจะออกแดงหรือออกดำ ถ้าหากว่าออกแดง ก็เอาไปอีก 1 เท่าของเงินที่วางพนัน แต่ว่าถ้าหากว่าทางผิดก็โดนกินเงินไปทั้งก้อนของเงินที่วางพนันเอาไว้ ดูเหมือนว่ามันเป็นเกมส์ที่ง่ายมันก็เหมือนกับหัวก้อยโยนเหรียญที่เราเล่นกันตั้งแต่เด็กๆยังไงอย่างงั้น แต่ว่า ที่โต๊ะรูเล็ทจะมีป้าบอกด้วยว่า ครั้งก่อนหน้า 10 ครั้งมีการออกเลขอะไรไปแล้ว และ เลขดังกล่าวมันเป็นสีอะไรเพื่อให้นักพนัน มาวิเคราะห์ว่ามันมีรูปแบบเป็นอย่างไรและ คาดเดาเอาเหมือนว่า “มีเหตุผล” ว่าครั้งต่อไปที่กำลังจะแทงนั้นน่าจะออกดำหรือแดง ได้อย่างมั่นใจมากกว่าเดิมได้ เพราะ มันดูเหมือนว่าอาจจะมี pattern อะไรซ่อนอยู่ เช่นว่าถ้าหากว่ามันออกแดงติดต่อกันมากแล้ว มันก็ต้องออกดำบ้าง ครั้งหน้าก็จะต้องแทงว่า มันออกดำ หรืออีกคนอาจจะคิดได้ว่า ถ้าหากว่ามันออกแดงติดต่อกันแล้วหลายครั้ง อีกครั้งหนึ่ง มันก็น่าจะออกแดงเหมือนกัน เพราะเหตุผลว่ามันออกแดงติดต่อกันแล้วนั่นเอง แต่ว่าเรื่องนี้ทั้งหมดโดยทางสถิติกลับสามารถอธิบายได้ว่า “ไม่ว่ามันจะออกแดงหรือจะดำไปแล้ว เมื่อมันเป็นเหตุการณ์ในอดีตจะไม่ส่งผลใดๆกับผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดแม้แต่น้อย” และ การสร้าง pattern นั้นเป็นตรรกะที่เพี้ยนและไม่ได้มีอยู่จริงนั่นเอง
คนไทยมักจะเล่นหวยแล้วก็ถ้าหากว่า เป็นหวยที่แทงกันเองแบบใต้ดินแล้ว ก็จะมีเกมส์การแทงที่ดูเหมือนง่ายเพื่อให้โอกาสได้นั้นมาก เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนแทงหรือพนันกับเกมส์ที่ได้กำหนดเอาไว้ โดย แนวคิดการสร้าง pattern นั้นก็จะมีในทุกคน ที่เล่นหวยทั้งๆที่เหตุผลหรือรูปแบบเหล่านั้นไม่มีอยู่จริงทางสถิติแต่อย่างใด คนที่จับ pattern ได้นั้นกลับกลายเป็นเรื่องอุปโลกเพื่อหลอกตัวเองให้ดูเหมือนว่าการตัดสินใจเพื่อแทงพนันด้วยเลขหนึ่งๆนั้นมีเหตุมีผล และฟังดูน่าเชื่อถือสำหรับตัวเองนั่นเอง การคิดอย่างงั้นก็เพื่อไม่ทำให้รู้สึกผิดว่า การกระทำที่มีความเสี่ยงทางการเงินนั้น ดูแล้วไม่มีเหตุผล การกระทำใดๆที่ทำไปแล้วไม่มีเหตุผลหรือไร้เหตุผลเลยนั้น มนุษย์เราจะรับการกระทำนั้นไม่ได้ จำเป็นต้องสร้างเหตุผลเพื่อรองรับการกระทำดังกล่าวนั้นหมด แม้ว่ามันจะไม่มีความเป็นจริงหรือข้อพิสูจน์ หรือแย่กว่านั้นก็คือ มันไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อย .. ก็มีเหตุผลเพื่อไม่ให้รู้สึกผิดต่อการกระทำได้
เรื่องโอกาสและความน่าจะเป็น เรื่องของการสร้างรูปแบบแบบไร้เหตุผล และเรื่องสมมุติฐานผิดเพี้ยนไปนั้นเป็นเรื่องที่อธิบายกันได้ยากหากคนที่ไม่เข้าใจ ก็จะไม่เข้าใจวันยันค่ำและถ้าหากว่าคนที่เข้าใจแล้ว การอ่านบทความที่ผมพิมพ์มาถึง ณ จุดนี้ก็คงไม่ได้มีประโยชน์อันใด เพราะมันไม่ได้ทำให้คุณรู้อะไรมากขึ้นสักเท่าไหร่ เพียงแต่มันมีความซับซ้อน ในเรื่องราวที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ที่คุณอาจจะหวนคิดความมีเหตุผลเชื่อมต่อกันนั้นมันเป็นตรรกที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ เพื่อที่คุณจะได้ไม่เชื่ออะไรผิดๆแปลกๆกับเรื่องราวที่คุณได้เจอะเจอกันมาในชีวิตประจำวัน หรือเรื่องใหญ่ที่คุณต้องตัดสินใจ
เอาเป็นว่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะ เรื่องราวหลายเรื่องมันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลมากนัก และอาจจะเลือกใช้แค่อารมณ์เพื่อตัดสินใจเดินหน้าเพื่อให้เรื่องทั้งหมดมันเดินหน้าไปได้ เพื่อให้คุณดำเนินชีวิตและได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างต่อไปได้ แค่เพียงว่าถ้าหากว่าคุณมีเวลาก็ลองมองเรื่องต่างๆรอบตัว ความเชื่อ และเหตุผลที่คุณคิดว่ามีอยู่จริงนั้น แยกแยะให้ออกว่ามันพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผลหรือไม่ หรือเหตุผลที่คุณเชื่ออยู่นั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่นั่นเอง