ผมเห็นพวก web ฝรั่งชอบทำ monthly report เพื่อบอกว่าได้รายได้จาก Blog ของตัวเองเท่าไหร่น่ะครับ งั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากน่ะครับ เอามั่งก็แล้วกัน เพราะเงินนี้เป็นรายได้ที่ผมหามาได้จาก online ผ่าน Blog นี้ และ ผ่านสินค้า บริการเพียงตัวเดียวเท่านั้นครับ การใช้งานโทรศัพท์ Skype ครับ เข้าไปอ่านหน้าทำเงิน หรือที่พวกฝรั่งมังค่าชอบโม้ว่า มันคือ money page ครับผม
รูปแบบถ้าหากว่ากด link skype โทรทางไกลแบบเหมาจ่าย เข้าไปดูจะพบได้ว่ามันก็เป็นแค่หน้า page ของ Blog ผมแค่หน้าหนึ่งๆเท่านั้นเอง โดยที่ผมนี่ก็จริงๆแล้วเพื่อที่จะทดสอบว่า การหาเงิน online แบบไม่ต้องออกแรงทำอะไรสักเท่าไหร่นี่มันก็เป็นไปได้ในการทำครับ สำหรับวิธีการมันก็มีขั้นตอนของมันเอง แต่ว่าที่ผมทำนี่อีกเหตุผลก็ เพื่อที่จะเข้าใจและทดสอบ "ความรู้" และ ที่อื่นๆที่ได้อ่านมาเท่านั้น เพราะว่าเงินได้เปล่ามาเดือนละหมื่นบาทหรือปีละ แสนสองนั้นก็ไม่ได้มากอะไรครับ แค่เอาไปใช้กินเล่นเลี้ยงสาวได้เท่านั้นครับ ไม่สามารถที่จะอยู่จริงได้เงินจำนวนนี้ได้จริงหรอก แต่ที่เอามาทำเป็น report ก็เพื่อที่อยากจะบอกว่า มันก็ทำได้ไม่ยาก แม้ว่าคุณจะไม่มีสินค้าอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียวที่เป็นของตัวคุณเอง แล้วก็ตลกว่า คุณไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เมื่อคุณมีหน้า money page ที่ติดตลาดแล้วจริงๆ (ยกเว้น case ที่โดนคนอื่นตีเข้าน่ะครับ)
โดยมากแล้วพวกที่จะหาเงิน online จากการสังเกตจะไม่ได้ทำการ promote สินค้าแค่ตัวเดียวเท่านั้นครับ เพราะแค่นี้มันไม่พายังชีพได้แน่นอน แค่ทำเป็นน้ำจิ้มก็พอจะทำได้อยู่บ้างแบบชิว ไม่ได้ถึงกับว่าไม่ได้อะไรซะทีเดียวกับการที่ "อยากจะบอกเรื่องราว" ต่างๆให้กับคนอื่นได้รู้ แล้ว Google ก็มาจับเนื้อความเราไป คนที่ค้นหาคำนั้นๆครับ income ของพวกที่เค้าเป็น pro. (ทำเพื่อยังชีพไม่ทำอะไรอย่างอื่นแล้ว) นั้นจะมี product และ service online ที่พวกเค้าเหล่านั้น "ใช้" และ "ชอบมัน" อยู่จริงๆเยอะแยะมากมายครับ แล้วเรื่องราวเหล่านั้นก็เป็นแบบสะสมซะด้วยซื คือ คุณไม่ต้องทำอะไรต่อแล้ว เมื่อคณ เชื่อมจุด ระหว่างคน ซื้อและคนขายของ (สินค้าหรือบริการ)ได้ในที่สุดครับ
อย่างว่า คนที่ทำหน้าที่เชื่อมจุดแบบนี้ จะเรียกว่า "Blogger" ถ้าหากว่าเค้าทำการเชื่อมจุดระหว่างคนซื้อและคนขายด้วยการให้ information อะไรบางอย่างและคนที่ติดตามก็เชื่ออย่างงั้นครับ เพราะเป็นแฟนพันธ์แท้กัน คนบอกก็ win และคนได้รับการบอกก็ win เช่นเดียวกัน เพราะได้ product หรือ service ที่ผ่านการพิสูจน์และทดสอบ และโดยชอบโดยพวกที่ชอบบอกต่อนั้นอย่างจริงจัง ไม่หมกเม็ดแต่ประการใดครับ
นั้นก็แปลว่า ถ้าหากว่า earn income แบบนี้แล้ว สินค้าหรือบริการใดๆ Blogger หรือคนที่ review แล้ว promote สินค้านั้นๆ เป็นคนที่ใช้งานจริงและชอบเพื่อบอกต่อสินค้านั้นๆได้จริงครับผม ซึ่งแน่นอนว่า มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับกรณีของผมแต่อย่างใดครับ เพราะถึงแม้ว่า เค้าคนนั้นจะไม่ได้ค่า commission จากการบอกต่อคนอื่นเพื่อให้เกิดการซื้อขายกัน แต่เค้าเหล่านั้นชอบสินค้าหรือบริการนั้นจริงๆ เค้าก็ยังไปบอกต่อคนอื่นอยู่ดีครับ ตัวอย่างก็เห็นได้อย่างชัดเจน ทั่วไปที่สุดตัวหนึ่งก็คือ iPhone (ไม่ว่าจะเป็น version อะไรก็แล้วแต่น่ะครับ) คนที่เค้าใช้งาน เค้าใช้แล้วรู้สึกว่ามันทำให้ชีวิตเค้าสะดวกขึ้นมากจริงๆ เค้าก็อยากจะบอกต่อ แม้ว่า เค้าจะไม่ได้ค่านายหน้าในการบอกต่อ เพื่อให้เกิดการซื้อขายสินค้าประเภทนั้นๆ (iPhone) แม้แต่สตางค์แดงเดียวอยู่ดีครับผม
วิธีการ promote สินค้าหรือบริการใดๆที่ดีก็คือ “ใช้จริง แล้วบอกต่อ” ถ้าหากว่ามันดีจริงๆ การบอกต่อเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติอย่างไม่ต้องให้ระบบใดๆมาบังคับแต่อย่างใด ตัวคนที่บอกต่อก็ไม่ได้คิดดว้ยว่ามันเป็นการโฆษณาให้กับสินค้าหรือบริการนั้นๆ เพราะ บอกไปเอาความดีเข้าตัวยังไงอย่างงั้นครับ
ถ้าหากว่าคุณดูยอด commission ประมาณหมื่นนิดๆบาทที่ไหลเข้า account ที่เปิดไว้ที่เมืองนอกทิ้งเอาไว้ (และไม่เคยคิดจะเบิกเอามาใช้แม้แต่ Dollar เดียว) ยอดนี้ผมกลับมา promote บริการส่วนที่ผมใช้อยู่เมืองวันที่ 12 ของเดือนที่ผ่านมาครับ แม้ว่าผมจะรู้จักสินค้านี้มานานแล้วก็ตามที แต่เนื่องจาก บริการนี้ มีการ "ปิดให้บริการ" ไปมากกว่า 5 เดือนก่อนหน้าทำให้ผมต้องแก้เนื้อหาเพื่อบอกว่า ไม่สามารถซื้อได้แล้ว (ณเวลานั้นครับ) แต่กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนทีผ่านมาอีกรอบ ผมก็เลยมาดูยอดอีกครั้งน่ะครับ ว่ามี Dollar ไหลเข้า account สักเท่าไหร่ ปรากฏว่า มันก็ได้เท่าเดิม เพราะ ก็ไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม แล้วมันก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใดน่ะครับ
ประเด็นทีว่าแปลกนั้นอยู่ตรงนี้น่ะครับ คือ การติด ads ไว้ที่ด้านขวาของ website Blog แห่งนี้ไม่ได้ทำให้เกิดรายได้สักเท่าไหร่ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งแต่ก่อนผมทำการ track เพื่อทดสอบเป็นพิเศษว่า ถ้าหากว่ากดเห็น ads แล้วจะกดกันอย่างงั้นหรือ ผลก็คือ … ไม่มีคนกดอะไรสักเท่าไหร่ แล้ว เพื่อความมั่นใจผมมีซื้อ ads ที่มี impression มากๆ เช่น website ที่ฝาก file ภาพ แล้วก็ให้แสดง ads นี้โดยผมจ่ายเงินต่อเดือนไม่มากนัก (เพื่อการทดสอบ) ก็ผลเป็นไปอย่างที่คาดก็คือ มันก็ไม่ได้ทำให้คนเข้ามาที่ website rackmanagerpro.com แห่งนี้มากนัก (เรียกว่าเป็นหลักสิบกันเลยดีกว่าตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ที่จ่ายเงินไป ก็หลักสิบหลักร้อยเท่านั้นน่ะครับ แหม ก็บอกแล้วว่ามันแค่ทดสอบเท่านั้นน่ะครับ จะจ่ายเยอะๆทำไมล่ะ เนาะ .. ว่าปะครับ)
เพราะ ads แบบ Banner แบบนี้ไม่ค่อยจะได้ผลเท่าไหร่ ปัญหามีอยู่สองอย่างที่คาดว่ามันเป็นไปได้ก็คือ Ads มันไม่ดีไม่ได้ทำให้คนอยากกดแต่อย่างใด แม้ว่า สินค้านั้นๆจริงๆแล้ว คนทั่วไปก็ใช้ได้ และ ใครๆก็มีโอกาสเป็นคนซื้อได้ครับ หรือ อีกกรณีคือ คนที่ ads นี้ไม่ได้กลุ่มคนที่จะซื้ออยู่แล้วครับ นั้นเกือบจะทำให้ผมสรุปในทิศทางตรงกันข้ามได้ว่า การใช้ Contextual ads แบบ Google Adwords น่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับสินค้าที่มีความต้องการเฉพาะ และ contextual แบบ content marketing ก็เป็นทางออกที่ดีมากๆทีเดียวสำหรับการ promote สินค้าหรือบริการใดๆครับ
แนวโน้มคือ คนที่เข้ามาแล้วอ่านเนื้อความ หรือไม่ได้อ่านเนื้อความจริงๆ แค่อ่านแบบ skimming เค้าก็จะเห็น content หรือเนื้อหาว่า ตาคนนี้มันบ้าบอ รู้อะไรเยอะในเรื่องนั้นๆ แล้วก็อย่างน้อยก็จะมีแนวโน้มเชื่อในคำบอกกล่าว หรือ review ของ Blogger นั้นๆได้มากกว่าคนอื่นๆครับ ซึ่งเป็นการตลาดแบบที่มีความคิดพื้นฐานว่า "คนที่พิมพ์เนือ้หา หรือบอกกล่าวแนะนำสินค้าหรือบริการเหล่านั้น ได้ผ่านการใช้งานสินค้าหรือบริการนั้นๆมาแล้ว และดีจริง จึงทำการบอกต่อ โดยไม่มีผลประโยน์อะไรอยู่เบื้องหลัง" ความคิดพื้นฐานที่ว่า จะเป็น Default ความคิดเมื่อ search แล้วเจอเนื้อความที่อธิบาย how to การ review สินค้าหรือบริการ จาก website ที่ดูแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการนั้นโดยตรง เรียกได้ว่า จนทำให้ "เราเชื่อคนแปลกหน้า มากกว่า คนที่ทำ ads หรือโฆษณา หรือนักการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายกันแบบโจ๋งครึ่มกันเสียอีกครับ"
ความคิดพื้นฐาน ประโยคที่ว่า "… โดยไม่มีผลประโยชน์อะไรอยู่เบื้องหลัง" นั้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมาที่อเมริกา โดยพวกคุ้มครองผู้บริโภคเค้าก็ออกกฏกันออกมาน่ะครับว่า ถ้าหากว่าเป็น link แบบกดแล้วได้ commission กันนั้นต้องบอกด้วยว่าเป็น affiliate link เพื่อให้คนที่หลงเข้ามาอ่านนั้นเข้าใจได้เลยว่า "มีผลประโยชน์ทางการเงินอยู่เบื้องหลังด้วยเช่นเดียวกัน" แต่มาถึงตอนนี้ผมก็เห็นคนที่ทำตามกฏนี้ไม่มากสักเท่าไหร่ หรือ ไม่เกินสัก 15% จาก link ที่ผมเห็นผ่านตาทั้งหมดน่ะครับ มีแค่บาง Blog เท่านั้นที่บอกว่ามันเป็น affiliate link ครับ จริงๆแล้วเรื่องนี้ก็ควบคุมกันยากจริงๆน่ะครับเอาเป็นว่าถ้าหากว่าเค้ามีทางออกแล้วจริงๆ ผมก็คงจะได้มีโอกาสเอาบอกอีกรอบแล้วกันน่ะครับนั่น
อย่างไรก็ดี มี blogger หลายราย (จากการอ่าน feed ของ Blog เค้าเหล่านั้นน่ะครับ) เค้าก็บอกว่า แม้ว่าจะใส่เข้าไปว่า affiliate link บอกไปให้หมด คนที่ search เนื้อหาเข้ามาแล้วเจอ ก็ยังกดอยู่ดี เพราะ ถือได้ว่าเป็นการ fair ที่สุดว่า ถ้าหากว่ามีการแนะนำเนื้อหา (สินค้าหรือบริการ) ให้แล้ว แล้วเค้าเหล่านั้นเห็นว่าเนื้อหามีประโยชน์ก็ถือว่าเป็นการขอบคุณหรือขอบใจกับสิ่งที่ได้นำเสนอนั้นไปอยู่ดี คิดได้อย่างนี้จริงๆก็เป็น win-win situation ครับ ซึ่งผมก็ลองดูแล้วเหมือนกันครับ คือ มีคน add email msn ผมไว้เพื่อสอบถามว่าผมใช้ skype แล้วเสียงดีเหรอป่าว ผมก็บอกไปว่าเสียงดี ผ่าน msn น่ะครับแล้วผมก็บอกต่อไปอีกเยอะแยะน่ะครับ ( online msn ใน iphone น่ะครับระหว่างนั่งรถ) แล้วผมก็ตบท้ายด้วยว่า อืม .. จริงๆแล้วผม promote ให้เค้าเพราะว่าจะได้ค่า commission ด้วยน่ะครับ ยังไงถ้าหากว่าจะจ่ายเงินกันจริงๆ ก็กด link ผ่านหน้าเว็ปผมไปน่ะครับ และคำตอบก็คือ "ค่ะ.." แล้ววันนั้นก็มียอดการขายตามที่คนนี้เค้าบอกไว้ว่าจะซื้อจริงๆครับ
ผมว่า โดยรวมแล้ว การบอกว่ามันเป็น affiliate link ว่าได้ค่า commission ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด เพราะ คนคิดที่ว่า ถ้าหากว่าคุณให้ข้อมูลทีมีประโยชน์จริง ก็ควรจะได้รับ reward จากการแนะนำนั้นอยู่ดี (เพราะคนที่ซื้อก็ไม่ได้มีอะไรจะเสียเพิ่มอยู่แล้ว อยู่ดีน่ะครับ) อย่างน้อยก็ยืนยันได้นิดนึงว่า ที่พวก Blog ทำเงิน และ concept ที่เค้าโม้เอาไว้ที่ blog ของเค้าเหล่านั้นก็มาจากการทดสอบทดลองเรื่องจริงๆ ที่ผมก็มาพิสูจน์ได้ไม่ยากครับผม
เอาล่ะครับ หมื่นสองนี่ร่ายได้ซะยาวขนาดนี้ ดีนะไม่ต้องไปเปิดเป็น online course กันไปเลยก็อาจจะทำได้อยู่น่ะครับ ยังไงไว้จะลองดูมั่งน่ะครับ เพราะว่า การมี product เป็นของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งครับ ว่าอย่างน้อย product นั้นอยู่ๆจะไม่หายไปเหมือนกับช่วงที่ skype เอา promotion ที่ผม promote ออกไปจากสารระบบครับ ..